ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 110 พระราชทาน
สุดท้ายเมื่อรายการของขวัญถูกอ่านจนครบ แขกในงานทุกคนล้วนมีสีหน้าท่าทางโล่งใจ เพราะไม่ต้องนั่งฟังเฉยๆ อีกต่อไป รวมทั้งจะได้ทานอาหารกลางวันเสียที
“คุณหนูใหญ่ซู ซูเหลียนอวิ้นรับราชโองการ!” เสียงเล็กแหลมดังก้องขึ้นในจวนตระกูลซู ทุกการเคลื่อนไหวของแขกในงานหยุดลงพร้อมหันไปมองบริเวณปากประตู
รับราชโองการ? ราชโองการอะไรกัน? ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นยังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเก้าอี้
“อวิ้นเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงคล้ายเพิ่งจะเข้าใจจึงสะกิดซูเหลียนอวิ้นเบาๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “คงจะเป็นราชโองการมาจากในวังหลวง รีบไปรับราชโองการเร็วเข้า! อย่ามัวแต่นั่งเหม่ออยู่!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้านหน้าแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ”
ขันทีผู้นั้นใช้สายตาสำรวจซูเหลียนอวิ้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อไปว่า ” เนื่องจากในวันนี้เป็นวันงานพิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ตระกูลซู ฮองเฮาทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงประทานแหวนหยกงามวิจิตรหนึ่งคู่! เครื่องประดับผมหินโมราและทับทิมหนึ่งชุด…”
ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าตั้งใจฟัง เนื่องจากฮองเฮาทรงประทานของขวัญให้นางไม่ต่ำกว่าสิบชิ้นโดยที่นางไม่คาดคิดมาก่อน! การลงมือเช่นนี้…คงมีฮองเฮาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้
“คุณหนูซูรับราชโองการ” ขันทีผู้นั้นยื่นราชโองการฉบับนั้นให้
“ขอบพระทัยในน้ำพระทัยฮองเฮาที่ทรงประทานของขวัญเหล่านี้” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วรับราชโองการอย่างนอบน้อมมาถือไว้ที่อกของตนเอง
“ช้าก่อน คุณหนูซู” ขันทีผู้นั้นหัวเราะ จากนั้นจึงหยิบพระราชโองการสีทองออกมาจากแขนเสื้อด้านซ้าย
อืม…ท่านจะพูดให้จบทีเดียวไม่ได้หรืออย่างไร? ข้าเพิ่งจะลุกขึ้นมาแต่ท่านกลับจะประกาศต่อ? ซูเหลียนอวิ้นนึกในใจ
ซูเหลียนอวิ้นจึงคุกเข่าลงและก้มหน้าต่อไปพร้อมยกมือขึ้นสูง “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการ…” ทว่าการกล่าวในครั้งนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้เต็มใจจะกล่าวนัก
แต่ขันทีผู้นี้กลับมิได้ใส่ใจนักเพียงยิ้มน้อยๆ ออกมา นั่นเป็นเพราะขันทีผู้นี้รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเช่นกัน! ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างมอบของขวัญให้คุณหนูซูในงานพิธีปักปิ่นวันนี้ เขามิใช่คนโง่ที่จะหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว!
“ข้าได้ยินว่าวันนี้เป็นงานพิธีปักปิ่นของธิดาแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดิน เพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดินนี้จึงของพระราชทาน…” เนื้อหาต่อจากนี้แตกต่างจากฉบับแรกอยู่บ้าง ทว่าของที่พระราชทานกลับมิใช่ของใช้ที่ใช้ได้เพียงสตรีเท่านั้น ของส่วนใหญ่จะเป็นของใช้แบบกลางๆ แบบที่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างชื่นชมและใช้งานมันได้เป็นส่วนใหญ่
อืม ท้ายที่สุดแล้วพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นแตกต่างจากฮองเฮา ในความหมายของฮองเฮานั้นเป็นเพราะพระองค์โปรดปราณซูเหลียนอวิ้นจึงประทานสิ่งของให้มากมายเช่นนี้ แต่สำหรับลี่หยวนตี้นั้นต่างออกไป ของที่พระราชทานให้นั้นมอบให้ในฐานะของธิดาของซูปั๋วชวนเท่านั้น
เพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดินงั้นหรือ? นั่นก็หมายความว่าต้องทำให้ดีถึงจะได้ของพระราชทานเท่านั้น แต่หากทำได้ไม่ดี…เหอะๆ
แสดงถึงความเมตตาและอำนาจพร้อมกัน ไม่เสียแรงที่เป็นฮ่องเต้จริงๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน เพราะหากขันทีผู้นี้เกิดหยิบราชโองการออกมาอีกฉบับหนึ่ง นางมิต้องลงไปนั่งคุกเข่าอีกรอบหนึ่งหรือ? ครั้งนี้ให้นางคุกเข่าจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อน หากมีอะไรจะพูดก็พูดให้จบทีเดียวเถิด!
ขันทีผู้นี้คล้ายรับรู้ได้ถึงความคิดของซูเหลียนอวิ้นจึงส่งสายตาไปที่นางในที่อยู่ด้านหลัง นางในผู้นี้เข้าใจความหมายได้ทันทีจึงเดินออกไปพยุงซูเหลียนอวิ้นขึ้นทันที
จากนั้นขันทีจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซูโปรดวางใจ ไม่มีพระราชโองการต่ออีกแล้ว แต่ข้ายังมีของอีกสิ่งหนึ่ง เป็นของที่องค์ชายเก้าไหว้วานให้ข้านำมาให้” ขันทีผู้นี้กวักมือ จากนั้นขันทีอีกกลุ่มหนึ่งก็ยกลังที่ดูหนักอึ้งเข้ามาวางลงบนพื้นดัง “ปัง”
“คุณหนูซูนี่เป็นของที่องค์ชายเก้ามอบให้เจ้า ทว่าก่อนที่ข้าจะออกมาองค์ชายเก้ากลับไม่ได้บอกข้าว่ามีของอะไรอยู่ในนี้ ดังนั้นของสิ่งนี้คงต้องให้คุณหนูเป็นคนเปิดดูด้วยตัวเอง” ขันทีผู้นี้ยิ้มประจบพลางเอ่ยขึ้น “เด็กน้อยมักจะขี้อาย คุณหนูซูอย่าได้ถือสา”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าช้าๆ “ไม่ถือๆ…หากท่านกลับไปโปรดขอบคุณองค์ชายเก้าแทนข้าด้วยนะเจ้าคะ…”
นางต้องทบทวนดูสักหน่อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ฮองเฮาประทานของขวัญให้นางนางยังพอเข้าใจได้ ส่วนองค์ชายเก้า…อย่างน้อยๆ ก็ยังเคยมีพรหมลิขิตต่อกัน!
ทว่าทำไมฮ่องเต้จู่ๆ ถึงโผล่ออกมาได้?!
อีกอย่างแม้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังนางจะพยายามพูดเบาแค่ไหนก็อย่าคิดว่านางไม่ได้ยิน! ฮ่องเต้คง…คงจะเมตตาตามคนที่ตนรักกระมัง? เพราะภรรยาและลูกชายของตัวเองต่างมอบของขวัญให้ หากตัวเองไม่มอบของขวัญด้วยมันจะเหมาะสมได้อย่างไร? อีกอย่างพระราชโองการก็เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดิน! หรือว่าจะรับนางเข้าวังหลวงถึงได้…ช่างน่าโมโหจริงๆ!
การวิจารณ์วังหลังของฮ่องเต้ต่อหน้าขันทีใหญ่ผู้นี้อย่างไม่ระมัดระวังเช่นนี้จะดีหรือ? รนหาที่ตายเสียจริง!
อันเพ่ยอิงเดินเข้ามาช้าๆแล้วเอ่ยว่า “กงกงจะอยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันก่อนไปหรือไม่? ตอนนี้อาหารถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
“มิต้องๆ” ขันทีโบกมือปฏิเสธ “ข้ายังมีงานกองโตรอข้ากลับไปจัดการที่วังหลวง ขอบคุณน้ำใจของฮูหยินมาก แต่ข้าต้องรีบกลับไปรายงานโดยเร็ว หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจ”
“เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งกงกงไว้แล้ว” อันเพ่ยอิงก้มหน้า “ชือฉิงส่งกงกงแทนข้าด้วย”
ในที่สุดขันทีและนางในกลุ่มนี้ก็เดินเรียงแถวกันออกไปจากจวนตระกูลซู บรรดาผู้คนที่อยู่ในงานจากเดิมที่แอบวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างระมัดระวัง ตอนนี้กลับเริ่มกล้าที่จะเสียงดังกันมากขึ้น
“คุณหนูซูเปิดลังใบนี้ให้พวกเราดูหน่อยไม่ดีหรือ? ลึกลับเช่นนี้ เจ้าไม่อยากรู้เหรอ? พวกเราอยากรู้กันจะแย่แล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้า คนที่นางเห็นเป็นฮูหยินคนหนึ่งที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่กลับมาพูดจาเจื้อยแจ้วกับนาง
“ไม่ต้องหรอก” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ “ในเมื่อองค์ชายเก้าไม่อยากจะเปิดเผยตั้งแต่ตอนที่ฝากส่งของมา ตอนนี้หากเปิดดูต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าไม่เคารพความตั้งใจขององค์ชายเก้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตัวข้าเองมิได้อยากรู้เลย” นางมิใช่คนโง่ที่จะยอมตกลงตามคำร้องของคนผู้นี้ เมื่อครู่ตอนที่คนกลุ่มนี้ได้ยินว่าฮ่องเต้และฮองเฮาพระราชทานสิ่งของต่างๆ ให้นาง ความโลภในสายตาของคนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน! หากตอนนี้ของที่อยู่ในลังเป็นของไปทิ่มแทงลูกตาของพวกนางอีก ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าตอนนี้นางจะโดนสายตาที่เป็นดังเข็มแหลมเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ตัวนางจนนางกลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง
ตอนนี้คนที่เอ่ยปากผู้นั้นมีสีหน้าอับอาย แต่ติดตรงที่ไม่แน่ใจในฐานะสูงต่ำอันคลุมเคลือของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ ดังนั้นต่อให้นางไม่ชอบใจในท่าทางการแสดงออกของซูเหลียนอวิ้นอย่างไร นางก็คงทำได้เพียงกัดฟันทนเท่านั้น ไม่กล้าที่จะเอ่ยซ้ำเป็นครั้งที่สอง
อันเพ่ยอิงพอเห็นรูปการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ก็รีบเดินเข้ามาเพื่อประณีประนอม “ในจวนทางนั้นเครื่องดื่มและสุราเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากไม่รังเกียจ พวกเราย้ายไปที่เรือนด้านตะวันออกกันเถิด”
บรรดาแขกเหรื่อต่างยิ้มแย้มแล้วเอ่ยตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน หากตอนนี้นางไม่รีบเดินออกไป ในสายตาของคนขี้อิจฉาจะต้องคิดว่าจวนแม่ทัพไม่เต็มใจต้อนรับพวกเขาอีกแล้ว มิเช่นนั้นแล้วทำไมแม้แต่ข้าวสักมื้อหนึ่งก็ไม่เลี้ยง? ทั้งยังรีบไล่แขกกลับไปโดยเร็ว
ตอนนี้ดูละครจนเต็มอิ่มแล้ว ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าลำดับพิธีการกินข้าวต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เพราะพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นจบตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีกแล้ว