ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 112 เพลิงไหม้ใหญ่
“อย่างนั้นหรือ” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพอใจกับคำตอบนี้ จึงถามต่อไปว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหรงซู่อยู่ที่ไหน? บอกข้าเรื่องนี้ด้วยได้หรือไม่?”
“เอ่อ ท่านอาจารย์อันที่จริงอยู่ที่…” ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของหนานกงมู่เสวี่ยนี้จะคุ้นตามากคุ้นตาเสียจนทำให้นางเริ่มตัวสั่น จากนั้นจึงได้สติกลับมาแล้วแย้งกลับไปว่า “จวิ้นจู่นี่ไม่ถูกต้องแล้ว เจ้าถามข้าไปหนึ่งคำถามแล้ว ดังนั้นถึงคราวเจ้าตอบคำถามข้าแล้ว!”
ยังดี ยังดี ที่ห้ามตัวเองไว้ทัน! มิเช่นนั้นแล้วจะต้องหลุดปากและพูดเรื่องนี้ออกไปแน่!
“ฮ่าๆ…” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มแห้งๆ แล้วแอบวิจารณ์ในใจว่า เจ้าเด็กโง่นี่ทำไมถึงรู้ตัวขึ้นมาได้? นางยังคิดว่าจะสามารถเค้นคำตอบออกมาได้มากกว่านี้เสียอีก!
“เช่นนั้นก็ได้ อันที่จริงสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าก็ไม่มีอะไรมากนัก” บรรยากาศรอบตัวของหนานกงมู่เสวี่ยคล้ายจะเริ่มหนาวขึ้น “เจ้ารู้จักอันผิงอ๋องหรือไม่?”
“อันผิงอ๋อง?” ซูเหลียนอวิ้นเอนกายไปข้างหลังเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ ตัวของนางพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “อันผิงอ๋อง…เป็นชื่อที่คุ้นหูมากเลย…”
“ใช่ คุ้นหูมาก” รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของหนานกงมู่เสวี่ย “เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องนึกออกอย่างแน่นอน”
“อันผิงอ๋อง?” ไม่นานนัก เสียงดังราวกับสายฟ้าฝาดของซูเหลียนอวิ้นก็ดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งห้อง “หนาน หนานกงจวิ้นจู่ เจ้าหมายถึงผู้ที่ช่วยลี่หยวนตี้ทำให้บ้านเมืองสงบลง แต่สุดท้ายกลับ…คืออันผิงอ๋องผู้นั้นหรือ?”
หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้ามองใบชาที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ ในถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายรอจนแน่ใจว่าใบชาไม่ร่วงลงสู่ก้นถ้วยจึงเอ่ยขึ้นว่า “มิผิด เป็นอันผิงอ๋องผู้นั้น หรงซู่เป็นบุตรของเขา”
“แต่จะเป็นไปได้อย่างไร…” ซูเหลียนอวิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปาก “ตอนนั้นอันผิงอ๋อง ทั้งจวนของอันผิงอ๋องมิได้ถูก…”
“หรงซู่เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ในตอนนั้น” อันผิงอ๋อง เป็นบุคคลที่คนในสมัยราชวงศ์ต้าชั่วล้วนจำได้
เพราะหากไม่มีเขาก็ไม่มีลี่หยวนตี้ หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีราชวงศ์ต้าชั่วด้วยเช่นกัน
ในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ในบรรดาพระโอรสทั้งหมดลี่หยวนตี้ถือเป็นผู้ที่โดดเด่นน้อยที่สุด และเป็นโอรสที่ดูอ่อนแอไร้ราศีที่สุด แต่แม้ว่าจะโชคร้ายอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีวันที่เขาไปได้ไกลอยู่ดี
ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนอายุก็มากแล้ว ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ยังคงมีลมหายใจอยู่ต่อ แม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้า ทว่าจิตวิญญาณของเขากลับมิได้ลดลงไปกว่าเมื่อก่อนเลย ความคิดของเขายังคงเฉียบแหลมว่องไว เขายังคงพยายามที่จะเป็นฮ่องเต้ที่กุมชะตาชีวิตของทุกคนเอาไว้
ทว่าโดยรวมตอนนี้ความตายได้เข้ามาใกล้เขาทุกที ด้วยเหตุนี้ความปรารถนาในอำนาจก็ยิ่งเป็นความต้องการอันแรงกล้าของเขามากขึ้น เนื่องจากเขาเห็นการเติบโตอย่างช้าๆ ของลูกชายตัวเองที่นับวันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ส่วนตัวเขากลับอ่อนแอลงและเข้าใกล้ประตูมรณะมากขึ้นเต็มที เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น
บรรดาโอรสของเขานับวันก็ดูเหมือนไม่ใช่โอรสของเขาอีกต่อไป แต่กลับเป็นดั่งปีศาจร้ายที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ และหากกำจัดเขาให้สิ้นซากไม่ได้ก็คงจะไม่มีวันลามือ
องค์รัชทายาทเป็นคนที่ไม่พอใจฮ่องเต้องค์ก่อนที่สุด เห็นชัดๆ ว่าใกล้จะลาโลกไปเต็มทีแล้ว แต่กลับไม่ยอมอยู่อย่างสงบ จนถึงตอนนี้ยังคงพยายามที่จะลดอำนาจในมือของเขาอยู่
องค์รัชทายาทเข้าใจดีว่าบิดาของเขายังคงไม่ยอมแพ้ หรือบางทีตัวเขาอาจจะทำอะไรให้ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ไม่พอใจเข้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านพ่อต้องการจะกำจัดเขาทิ้งไปเสีย
แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาต่างหากที่กำลังจะเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินคนต่อไป! ส่วนอีกคนเป็นเพียงคนที่นอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงเท่านั้น รีบพักผ่อนไปจะดีกว่า และจะได้ถือว่าเป็นการหลุดพ้นด้วย
ไม่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่นัก สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทก็ลงมือก่อกบฏ
มิถูก หากจะพูดให้ถูกต้อง ต้องไม่ใช้คำว่ากบฏ แต่เป็นการตั้งใจจะสังหารบิดาของเขามากกว่า
แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปี หลายสิบปีแห่งการเป็นฮ่องเต้ เขาจะไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยได้อย่างไร? หากแม้แต่ผู้เป็นองค์รัชทายาทมาแค่ไม่กี่ปียังควบคุมไม่ได้ เขาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปพักผ่อนอย่างสงบ
สุดท้ายองค์รัชทายาทก็ถูกเนรเทศออกไป
และผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสในศึกแห่งการแย่งชิงเก้าอี้องค์รัชทายาทนี้อย่างลี่หยวนตี้กลับมีความสามารถโดดเด่นออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย
ฮ่องเต้ทรงมี พระราชดำรัสว่า องค์ชายสิบสาม หนานกงจิ่น มีจิตใจบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ เคารพพี่น้อง ให้เกียรติผู้คน ดังนั้นจึงขอแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทต่อไป
ทุกคนที่ได้ฟังล้วนตื่นตระหนก เป็นหนานกงจิ่นไปได้อย่างไร? คนที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด องค์ชายสิบสามผู้ที่ไร้ปากไร้เสียง? นี่มันเป็นไปไม่ได้!
ทว่าในพระราชโองการแต่งตั้งไว้เช่นนี้ แถมพระราชโองการยังถูกประกาศออกจากปากขันทีใหญ่ผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะแอบคิดในใจอย่างไรก็คงทำได้เพียงแอบเอาไว้ในใจ และคุกเข่าลงบนพื้นอย่างจงรักภักดีก้มหัวให้กับคนที่พวกเขาดูถูกที่สุดแล้วเรียกเป็นเสียงเดียวกันว่าฮ่องเต้!
อดีตองค์รัชทายาทแม้ว่าจะถูกเนรเทศไปแล้ว ทว่าพรรคพวกในเมืองหลวงกลับมิได้ลดลงเลย หลังจากที่ทราบข่าวว่าบิดาของตนสวรรคตแล้ว แถมยังยกบัลลังก์ให้กับฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถที่ตนเคยดูถูกมาตลอด เขาจึงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด
นี่ต้องการจะตบหน้าเขาใช่หรือไม่? หาว่าเขาสู้ไม่ได้แม้แต่คนไร้ค่าเช่นนี้? จึงปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้วแต่งตั้งคนแบบนี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
กล่าวได้ว่าตอนนี้อดีตองค์รัชทายาทได้ลืมไปสนิทแล้วว่าเป็นเพราะตนเคยวางแผนปลงพระชนม์บิดา เขารู้เพียงว่าบิดาของเราเลอะเลือนไปแล้ว! แต่ไม่เป็นไรของที่เป็นของเขาอย่างไรก็เป็นของของเขา
แค่มีผู้อื่นแย่งชิงไปชั่วคราวจะเป็นไรไป? ทั้งหมดก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
ผ่านไปครึ่งปี อดีตองค์รัชทายาทก็เตรียมทุกอย่างจนพร้อมแล้วไล่ตะลุยก่อสงครามจนเขยิบเข้ามาใกล้เมืองหลวง
ไม่นานนักสภาพจิตใจของคนในเมืองก็เริ่มตกอยู่ในสภาวะหวาดวิตก แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เริ่มแบ่งพวกออกเป็นสองกลุ่ม มีทั้งที่เป็นพรรคพวกของอดีตฮ่องเต้และก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นพรรคพวกของลี่หยวนตี้ แน่นอนว่าพรรคพวกของลี่หยวนตี้เมื่อเทียบกับอดีตองค์รัชทายาทแล้วถือว่ามีน้อยกว่ามากนัก
นั่นเป็นเพราะว่า เวลาครึ่งปีถือเป็นเวลาที่สั้นนัก ความศรัทธาในตัวของลี่หยวนตี้ยังไม่ทันจะแข็งแรงขึ้นมา ขณะที่ความปรีชาสามารถของอดีตรัชทายาทยังคงไม่ถูกลืมเลือน
และในเวลานั้นเองที่อันผิงอ๋องอาสาออกรบเพื่อปราบอดีตรัชทายาท แล้วคืนความสงบสุขให้กับแผ่นดิน
อันผิงอ๋องเป็นพี่ชายแท้ๆ ของลี่หยวนตี้ แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากมารดาเดียวกันแต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันเสียอีก อีกทั้งในตอนนั้นลี่หยวนตี้อ่อนแอกว่าผู้อื่น ขณะที่อันผิงอ๋องเชี่ยวชาญการทำศึกมากเสียจนถือได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้บัญชาการศึกโดยเฉพาะ
ในเมื่อมีผู้อาสา ลี่หยวนตี้ย่อมพอใจอย่างแน่นอน ในตอนนั้นจึงตอบรับความต้องการของอันผิงอ๋องส่งเขาออกสู่สนามรบ
ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการบัญชาการศึกอย่างเขาไม่ทำให้เสียชื่อ ผ่านไปเพียงสี่เดือน กองกำลังของอดีตรัชทายาทก็ค่อยๆ ถูกตีจนแตกพ่ายไปราวกับกำลังจะโดนกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน เมื่อขุนนางในราชสำนักเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็เริ่มตัดสินใจเปลี่ยนข้างกลับมาอยู่ข้างเดียวกับลี่หยวนตี้ดังเดิม
เมื่อกำแพงจะล้มคนก็ยิ่งช่วยกันผลัก ในที่สุดอดีตรัชทายาทก็พ่ายแพ้ แถมการพ่ายแพ้ครั้งนี้ยังแพ้แบบถอนรากถอนโคนไม่มีทางฟื้นอำนาจกลับขึ้นมาได้อีก
ทว่าตัวร้อยขาตายแล้วก็ยังเคลื่อนที่ต่อได้[1] กองกำลังเก่าของอดีตรัชทายาทยังคงหาทางคอยแก้แค้นอยู่เสมอ ทว่าการจะปลงพระชนม์ลี่หยวนตี้นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินเอื้อม ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเล็งมายังอันผิงอ๋อง
เวลาโบยบินพ้นผ่าน เรื่องราวของอดีตรัชทายาทค่อยๆ ถูกลืมเลือน สุดท้ายประชาชนใช้ชีวิตกันอย่างสุขสงบ และในตอนนี้เองที่อุบัติไฟไหม้ครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ทุกคนหวนรำลึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง
ไฟไหม้อยู่ทั้งวันทั้งคืน กว่าจะสามารถบุกเข้าไปถึงจวนของอันผิงอ๋องได้ ตอนนั้นแม้แต่กระดูกสักชิ้นก็ยังหาไม่เจอ เรือนทั้งหลังมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้อีกเลย
——
[1] ตัวร้อยขาตายแล้วก็ยังเคลื่อนที่ต่อได้ หมายความว่ากลุ่มคนที่มีอำนาจมาก แม้พ่ายแพ้ไปแล้วแต่ก็ยังคงเหลือกองกำลังเก่าอยู่