ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 116 ของขวัญ
“เจ้าค่ะ คุณหนู” เนี่ยนเอ่อร์ยกนิ้วขึ้นสาบาน “ต่อไปพวกบ่าวจะไม่เล่นการพนันแลกเงินอีกแล้วเจ้าค่ะ! “
นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้สักหน่อย เข้าใจหรือไม่? ประเด็นสำคัญคือ…
ช่างเถอะๆ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์คงร้อนแรงเกินไปกระมัง ตอนนี้ตาทั้งสองข้างของนางจึงพร่ามัวไปหมด เรื่องเมื่อครู่นี้…เงียบปากเอาไว้ดีกว่า เพราะเมื่อครู่นี้ท่าทางของตนก็น่ากลัวเสียขนาดนั้น…
คิดเสียว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“พวกเจ้ารู้ด้วยตัวเองก็ดีแล้ว” เสียงของซูเหลียนอวิ้นคล้ายคนหมดแรง “จริงสิ หญิงรับใช้ของหนานกงมู่เสวี่ยผู้นั้น พวกเจ้าบอกนางทีซิว่า เจ้านายของนางกลับไปแล้ว! ให้นางคิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อ จะค้างคืนกับพวกเราที่นี่ หรือว่าจะรีบตามกลับไปตอนนี้เลย บางทีอาจจะตามทัน”
“คุณหนูซูว่าอะไรนะเจ้าคะ จวิ้นจู่ของบ่าวกลับไปแล้ว” หญิงรับใช้ของหนานกงมู่เสวี่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร! บ่าว บ่าวไม่เห็นได้ยินเสียงคุณหนูเดินออกไปเลย! “
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าเล่นกันจนไม่ลืมหูลืมตา…หนานกงจวิ้นจู่กลับไปตั้งนานแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นก้าวเท้าเดินไปทางห้องนอนของตัวเองแล้วเอ่ยต่อว่า “เนี่ยนเอ๋อร์ เจ้าคืนเงินให้หญิงรับใช้นางนี้ได้แล้ว จากนั้นให้นางรีบนั่งรถม้าตามกลับไป มิเช่นนั้นขืนยังช้าอยู่พระอาทิตย์คงจะตกดินเสียก่อน! “
ณ จวนจิ้งอันโหว
ต้วนเฉินเซวียนกำลังนอนอยู่บนเตียง เขานอนพลิกตัวกลับไปมา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หลับไม่ลง
ตอนนี้ในหัวของเขา เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้สมองโล่งก็จะมีภาพของซูเหลียนอวิ้นที่กำลังตาแดงก่ำพร้อมอาการหวาดกลัวแทรกเข้ามา…ความรู้สึกที่ตนมิอาจควบคุมได้เช่นนี้ทำเอาเขาอึดอัดจนหัวแทบจะระเบิด!
ตอนนั้นเขาเพียงคิดจะ…ข่มขู่นางก็เท่านั้น…เขาไม่ได้คิดจะ…!
ต้วนเฉินเซวียนเตะผ้าห่มออก แล้วขยี้ผมตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง
อีกทั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาจึงมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างในตอนสุดท้ายที่เขากำลังจะออกจากเรือนของซูเหลียนอวิ้น สายตาของซูเหลียนอวิ้นที่มองเขาทำไมถึงพิลึกแบบนั้น?
แต่สายตานั้นเป็นสายตาของการสำนึกผิดอย่างแท้จริงและเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าตนรู้ตัวแล้วว่าทำผิด แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่า…มีบางอย่างไม่ถูกต้อง?
ไม่ได้ พรุ่งนี้เขาจะต้องกลับไปหาหรงซู่อีกรอบหนึ่ง เรื่องนี้จะต้องข้องเกี่ยวกับเขาไม่มากก็น้อย
บางทีอาจเป็นไปได้ว่าหรงซู่พูดเรื่องเหลวไหลให้ซูเหลียนอวิ้นฟังลับหลังเขา! หากเป็นเช่นนี้จริง…เขาสาบานเลยว่าจะไม่ยอมปล่อยหรงซู่ไปแน่!
……
“คุณหนู? ” หลีมู่เคาะประตูสองสามที “คุณหนูนอนหรือยังเจ้าคะ? “
“ยัง มีเรื่องอะไรเข้ามาคุยกันข้างในก่อนสิ” ซูเหลียนอวิ้นคว่ำหน้าปกหนังสือที่อยู่ในมือลงอย่างระมัดระวัง “มีอะไรหรือ ถึงได้มาหาข้าเอาดึกดื่นป่านนี้”
หลีมู่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงวางกล่องรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าไว้บนโต๊ะยาวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้บ่าวเจอสิ่งนี้เข้า ตอนที่กำลังจัดการของขวัญจากงานพิธีปักปิ่นอยู่”
“ทำไมหรือ”
“ของสิ่งนี้ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ว่าผู้ใดเป็นคนให้ อีกทั้งยังไม่ได้บอกด้วยว่าของข้างในคืออะไร ดังนั้นบ่าวจึงเอามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“ขอข้าดูหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวลงมาจากเตียง นางใส่รองเท้าอย่างลวกๆ แล้วเดินลงมา
ซูเหลียนอวิ้นยกกล่องใบนั้นขึ้น แล้วชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ น้ำหนักไม่เบาเลยทีเดียว? แถมกล่องยังเป็นรูปทรงนี้อีก? กล่องที่มีรูปทรงยาวเช่นนี้…ข้างในจะต้องมี…
หรือว่าจะเป็น
ในหัวของซูเหลียนอวิ้นปรากฏภาพความคิดที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด
“หลีมู่ข้ารับรู้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นวางกล่องใบนั้นลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด เผื่อพรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้าขึ้นมาทำอะไร เจ้ารีบไปนอนเถอะ! “
เป็นไปได้หรือไม่ที่ของด้านในนี้จะเป็นกระบี่ชั้นยอดที่ท่านอาจารย์รับปากเอาไว้ เพราะนางแกะของขวัญดูหมดแล้วยังไม่เจอสิ่งนั้นเลย!
แม้แต่ของที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างองค์ชายเก้ามอบให้ นางก็แกะดูหมดแล้ว
ทว่าเมื่อคิดถึงองค์ชายเก้าขึ้นมา ซูเหลียนอวิ้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก…อึดอัดและเจ็บใจ!
รู้หรือไม่ว่าเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นมอบอะไรให้นาง ของที่เขามอบให้นางคือแบบฝึกคัดลายมือหลายเล่มและยังมีคัมภีร์ชือจิง[1]อีกด้วย!
สุดท้ายด้านบนยังแนบจดหมายมาให้อีกหนึ่งฉบับ เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เมื่อพิจารณาจากในงานฉลองวสันตฤดูแล้ว บทกลอนที่ซูเหลียนอวิ้นเขียนในงานเขามีโอกาสได้เห็นแล้ว ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำดังนี้
หนึ่ง หวังว่านางจะขยันฝึกคัดลายมือ เพราะหากลายมือของนางน่าเกลียดเช่นนี้จะทำให้เขาขายหน้าเอาได้! (เพราะว่ามีหลายคนรับรู้แล้วว่าเขากับนางมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน)
สอง หวังว่านางจะเรียนรู้บทกลอนให้มากกว่านี้ เพราะกลอนที่นางเขียนบทนั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าเด็กเป็นผู้เขียนและราบเรียบจนเกินไป สู้เด็กอายุห้าขวบอย่างเขายังมิได้! (ถือเป็นการเยาะเย้ยซูเหลียนอวิ้นไปด้วยว่าโตกว่าเขาตั้งหลายปี แต่กลับสู้เขาไม่ได้)
สุดท้าย หวังว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีอารมณ์และนิสัยที่สุภาพและอ่อนโยนกว่านี้สักหน่อย การแสดงออกอย่างฉุนเฉียวขนาดนั้นในงานวสันตฤดูทำให้ผู้อื่นต้องขายหน้า ยังดีที่คนผู้นั้นใจดีจึงไม่ทะเลาะกับนาง มิเช่นนั้นแล้วหากคนผู้นั้นขายหน้าจนหัวเสียขึ้นมา ซูเหลียนอวิ้นคงจะเดือดร้อน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่องค์ชายเก้ามอบให้นางทั้งหมดในกล่องใบนั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็อยากจะเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อนำตัวเจ้าเด็กหน้าเหม็นจอมหยิ่งผยองนั่นตีสั่งสอนสักยก!
นางลายมือน่าเกลียดหรือ?! น่าเกลียดตรงไหน! แม้แต่คนลายมือสวยอย่างหนานกงมู่เสวี่ยยังไม่รังเกียจนาง! แล้วทำไมเจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้ต้องมาคอยจับผิดนางด้วย?
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องบทกลอน ก่อนหน้าวันงานฉลองวสันตฤดูนางต้องรีบยัดบทกลอนตั้งมากมาย นางอ่านจนแทบจะอาเจียนออกมา! ชีวิตนี้ของนางต่อจากนี้…อย่างน้อยก็ภายในเดือนนี้ นางไม่อยากจะแตะต้องหนังสือพวกนี้อีกแล้ว
อีกอย่างหนึ่งในเมื่อรู้ว่านางขี้โมโห ยังจะกล้าเขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงนางอีกหรือ ไม่กลัวว่านางจะบุกเข้าวังหลวงไปตีก้นของเขาสักยกเลยหรอ! มันน่าจริงๆ …
อย่างไรก็ตามตอนที่ซูเหลียนอวิ้นอ่านจดหมายฉบับนั้นจบ นางก็ได้ขยำจดหมายฉบับนั้นเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนของนั้น…ของมิอาจโยนทิ้งได้ ดังนั้นนางจึงเอาของทั้งหมดนั้นรวมทั้งกล่องย้ายไปวางที่ห้องเก็บของของนางในจุดที่ลึกที่สุดของห้อง
“คุณหนู ของชิ้นนี้ล่ะเจ้าคะ ให้บ่าวเอาออกไปด้วยไหม” หลีมู่เอ่ยปากหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อดูท่าทางของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ทำไมถึงดูเหมือนอยากจะกอดของสิ่งนี้ไว้โดยไม่อยากวางมือ?
“อ๋อ” ซูเหลียนอวิ้นหลุดจากภวังค์แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องๆ เอาไว้ที่ข้าก่อนเถิด ของชิ้นนี้ค่อนข้างหนักทีเดียว หากให้หลีมู่ย้ายไปย้ายมาคงลำบากแย่ เอาวางไว้ห้องของข้านี่ล่ะ”
“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ยังมีคำพูดอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเองช่วงบ่ายวันนี้ เรื่องที่นางแอบเล่นไพ่ใบไม้โดยไม่รู้สึกผิดต่อซูเหลียนอวิ้น….ตอนนี้นางจึงรู้สึกว่านางมีความมั่นใจไม่พอ ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าจากนั้นก็ถอยหลังออกไป
ตอนที่หลีมู่เพิ่งจะเดินออกไป ซูเหลียนอวิ้นก็รีบพุ่งตัวไปที่ประตูเพื่อปิดให้แน่น ไม่แน่หากจู่ๆ หลีมู่เกิดมีเรื่องอะไรแล้ววกกลับเข้ามาอีกจะทำอย่างไร
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซูเหลียนอวิ้นก็ได้โอกาสเปิดกล่องใบนั้นดูสักที นางค่อยๆ เปิดออกจากรอยแยกเล็กๆ ด้านในคล้ายมีแสงสว่างส่องประกายวับไหว
“คุณพระช่วย! ” ซูเหลียนอวิ้นเปิดฝากล่องทั้งหมดออก ในตอนที่นางเห็นกระบี่เล่มนั้นวางอยู่ในกล่อง นางก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้อย่างยากจะควบคุม
นางเกรงว่าตัวเองจะตื่นเต้นมากเกินไปจนส่งเสียงร้องและหากเสียงนั้นดึงดูดผู้คนเข้ามาที่ห้องของนาง นั่นคงจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน
——
[1] คัมภีร์ชือจิง คือคัมภีร์กวี เป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน