ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 117 ความฝัน
“กรี๊ดดดด! ” ซูเหลียนอวิ้นหวีดร้องเบาๆ จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าตัวเองไว้แล้วก็บิดตัวไปมาเป็นวงกลม
นางมิได้เดาผิดตามที่คาดเอาไว้! ข้างในนี้เป็นกระบี่ชั้นยอด! แถมกระบี่เล่มนี้ยังสวยมากอีกด้วย!
ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะควบคุมมือของตัวเองที่กำลังสั่นเทา จากนั้นหยิบกระบี่ชั้นยอดเล่มนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง เพียงเห็นแค่ปลอกกระบี่ยังสวยงามขนาดนี้!
เอ๊ะ? ” ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นสัมผัสโดนกระบี่ นางพลันขมวดคิ้ว “ทำไมถึงรู้สึกว่า…”
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติสัมผัสโดนมือของนาง? เพราะความรู้สึกที่มือนางเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนสัมผัสโดนโลหะ แต่คล้ายว่า…สัมผัสโดนของลื่นๆ บางอย่าง?
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกสงสัยและประหลาดใจ ทว่านางยังคงจับด้ามกระบี่เอาไว้แล้วดึงกระบี่ออกมา
คมกระบี่เป็นประกายมันขลับราวกระจกเงา ตอนที่ชักกระบี่ออกมาทั้งเล่มแล้วนั้น ตัวกระบี่ต้องกับแสงเทียนบนเชิงเทียนส่องประกายสว่างไสว ดวงตาของซูเหลียนอวิ้นโดนประกายของแสงสว่างนี้จนต้องหรี่ตาลง
แต่ในชั่วขณะที่นางหรี่ตาเป็นเวลาสั้นๆ นั้น นางจึงพลาดโอกาสเห็นบางอย่างในช่วงที่แสงส่องประกายออกมา
รอจนสายตาของนางเริ่มปรับตัวได้ตามปกติแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงก้มหน้ามองดูใบหน้าของตนที่สะท้อนอยู่ในกระบี่ ตอนนั้นนางรู้สึกว่าตัวเองอยากจะหัวเราะ
โอ้โห งามยิ่ง กระบี่เล่มนี้งามมาก เงาของสตรีที่สะท้อนอยู่ในกระบี่ก็งามเช่นกัน
ซูเหลียนอวิ้นลองกวัดแกว่งกระบี่ดูครั้งสองครั้ง ตอนนั้นเองนางจึงคิดว่าบางทีการกวัดแกว่งกระบี่ครั้งสองครั้งของนางสามารถทำให้กระบี่เกิดพลังขึ้นได้?
เกิดความคิดบางอย่างขึ้นภายในก้นบึ้งของจิตใจของนาง นางจะลองดูดีหรือไม่ ลองดูว่าตัวเองจะควบคุมพลังของกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่? หากนางทำได้ล่ะก็ คงต้องเรียกนางว่าอัจฉริยะเสียแล้ว! เพราะตำราทั้งสองเล่มที่หรงซู่มอบให้นางล้วนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้!
“ลองกับโต๊ะตัวนี้ก็แล้วกัน…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพัม จากนั้นนางจึงถอยหลังไปสองสามก้าว มือทั้งสองของนางกุมด้ามกระบี่ไว้ นางหลับตารวบรวมพลังพุ่งตรงไปยังโต๊ะตัวนั้น
“เอ๊ะ? ” ผ่านไปครู่ใหญ่ เนื่องจากนางไม่ได้ยินเสียงใดๆ ดังขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงแอบหรี่ตาขึ้นมามองข้างหนึ่ง ทุกอย่างยังคงมีสภาพดังเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“จะเป็นไปได้อย่างไร! ” ครั้งแรกตอนที่นางเริ่มกวัดแกว่งมัน ทั้งๆ ที่นางรู้สึกอย่างชัดเจนว่าตัวเองควบคุมพลังของกระบี่ได้! ทำไมตอนนี้ถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเลย?
มิได้ นางต้องลองดูอีกครั้ง!
ด้วยเหตุนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงพุ่งความสนใจของตัวเองไปยังโต๊ะตัวนั้นอีกกว่าสิบรอบ สุดท้ายทั้งแขนซ้ายและแขนขวาของนางก็เริ่มเหนื่อยล้าจนมิอาจยกขึ้นได้อีก พอยกกระบี่ขึ้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงมองไปข้างหน้าแล้วยอมแพ้ชั่วคราวก่อน
“เฮ้อ แต่ก็ยังดี” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ นำกระบี่เก็บเข้าไปในปลอกกระบี่อย่างระมัดระวัง แล้วพูดปลอบใจตัวเองเบาๆ “จะดีจะร้ายอย่างไรเจ้าก็นำพลังกระบี่ออกมาได้หนหนึ่งแล้ว! แม้ว่าครั้งนั้นอาจจะเหมือนแมวตาบอดจับหนูตาย[1]ได้ก็ตาม…แต่นั้นก็สามารถกล่าวได้ว่าโชคของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว! “
เมื่อเก็บกระบี่เสร็จแล้ว แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับพบอีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือนางจะเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ที่ใด?
ขืนวางไว้บนโต๊ะเช่นนี้ เช้าวันต่อมานางมั่นใจแปด เก้าจากสิบส่วนว่าของชิ้นนี้จะถูกนำออกไป…
นั่นเป็นเพราะซูปั๋วชวนและซูมั่วเยี่ยไม่ชอบอย่างยิ่งที่นางจะไปข้องเกี่ยวกับสิ่งของประเภทนี้! ส่วนหลีมู่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกรงว่าหลังจากนั้นนางจะต้องเป็นคนแรกที่วิ่งไปรายงานเรื่องของนาง จากนั้นก็จะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยให้นางเก็บของแบบนี้ไว้
“มิถูกสิ รู้สึกว่ามีบางที่ที่เราสามารถแอบเอาไว้ได้” ในตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าจะต้องมีที่ไหนสักแห่งที่สามารถซ่อนของเอาไว้ได้
ที่นั้นก็คือใต้เตียงของนางนั่งเอง!
ใต้เตียงของนางมีที่ที่สามารถสอดของซ่อนไว้ตรงกลางได้ ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ฟูกที่นอนปูทับอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อนอนลงบนฟูกจะทำให้มันห้อยลงด้านล่าง จากนั้นก็จะบังจุดๆ นั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นต่อให้เป็นหลีมู่ก็ไม่มีทางรู้ว่าด้านในมีของซ่อนอยู่
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เมื่อชาติที่แล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ใช้แอบนิยายเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าชาตินี้แม้นางจะไม่ได้ใช้มันไว้แอบนิยายแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงไม่ว่าง เฮ้อ มันคงเหนื่อยมากทีเดียว
กระบี่ซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กล่องยังคงตั้งอยู่ ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิด จากนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงหันไปหยิบสร้อยคอเส้นยาวออกมาแล้ววางไว้ในกล่องนั้นแทน
สร้อยคอเส้นนี้ก็เป็นของที่ใช้ในแสดงความยินดีในงานพิธีปักปิ่นวันนี้เช่นกัน แต่ซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่าหลีมู่ต้องจำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะของในงานวันนี้มีจำนวนเยอะมาก หากหลีมู่จำทั้งหมดได้…คงจะน่ากลัวเกินไปสักหน่อย!
จากนั้นนางจึงกะเวลาดู คาดว่าตอนนี้คงดึกมากแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นเริ่มหาวแล้ว
ง่วงจัง วันนี้นางเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นางคงต้องพักผ่อนสักหน่อยแล้ว อีกอย่างวันพรุ่งนี้นางยังตั้งใจไว้ว่านางจะไปหาหรงซู่ด้วยเพราะนางมีคำถามอีกตั้งมากมายที่อยากจะถามเขา
ส่วนตอนนี้ นอนก่อนจะดีกว่า…
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ? ” เสียงตะโกนเรียกของหลีมู่ดังขึ้นข้างหูของนาง
“มีอะไรหรือ? ” ซูเหลียนอวิ้นปัดผมของตัวเองที่ร่วงลงมาปกหน้าผาก และฝืนตัวเองจนลุกขึ้นมานั่งแล้วเอ่ยถามขึ้น
“คุณหนูฝันร้ายหรือเปล่าเจ้าคะ? ” หลีมู่นั่งอยู่ด้านข้างซูเหลียนอวิ้นแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก “บ่าวเห็นว่าเมื่อครู่นี้คุณหนูเอาแต่ขมวดคิ้ว อีกอย่าง…คุณหนูดูสิ เหงื่อของคุณหนูออกมาเยอะมาก”
“คงจะร้อนกระมัง…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพึมพำ “ตอนนี้ยามใดแล้ว? “
“ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะยามเฉิน[2]เท่านั้น บ่าวแค่เห็นว่าคุณหนู…คุณหนูจะนอนต่อหรือไม่เจ้าคะ” ระหว่างที่หลีมู่พูดก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้อง ในตอนที่นางกลับมาในมือของนางมีพัดกลมเล่มหนึ่งกลับมาด้วย
“ไม่แล้วล่ะ” ซูเหลียนอวิ้นดึงผ้าห่มออกแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าตื่นแล้ว คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ เจ้าไปเตรียมเครื่องอาบน้ำให้ข้าก็แล้วกัน แล้วก็รีบทำข้าวเช้า เพราะวันนี้ข้ากะว่าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
นางหลับไม่สนิทจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อคืนความฝันของนางถึงแปลกประหลาดนัก ทว่าความรู้สึกในความฝัน โดยภาพรวมค่อนข้างขาดๆ หายๆ นางคล้ายเป็นผู้ชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันที่คอยแอบดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ
ความทรงจำในความฝันคล้ายว่าวินาทีหนึ่งเป็นช่วงเวลากลางวัน ทว่าเพียงครู่เดียวกลับกลายเป็นช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งเสียงที่ผู้หญิงเอ่ยขึ้นในความฝัน นางได้ยินไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่าเป็นเสียงหัวเราะ ร้องไห้และยังมี…เสียงกรีดร้องอีกด้วย?
ซูเหลียนอวิ้นนวดไปที่ขมับของตัวเองพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองระลึกถึงความฝันนั้นขึ้นมาอีก เนื่องจากตอนที่นางหลับอยู่นั้น นางรู้สึกว่าทั้งหมดล้วนเลือนราง แต่ตอนนี้เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งเลือนรางลงไปเต็มที
เมื่อนางยิ่งครุ่นคิด และยิ่งระลึกถึงมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกปวกหัวมากขึ้นเท่านั้น
“คุณหนู มาเจ้าค่ะ” หลีมู่เดินถืออ่างน้ำเข้ามาแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ราวกับเด็กคนหนึ่ง ตอนนั้นนางจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก “คุณหนู ฝันร้ายอะไรนั่น อย่าได้เก็บมาคิดอีกเลยเจ้าค่ะ เพราะยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวามากขึ้นเท่านั้น อีกอย่างมันยังเป็นเพียงความฝันอีกด้วย คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้คุณหนูตื่นขึ้นมาแล้ว เรื่องราวในความฝันเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไม่จริงแล้วเจ้าค่ะ! “
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร หลีมู่ไม่ต้องกังวล อีกอย่างพอข้ามานั่งนึกย้อนเอาตอนนี้ ข้ากลับนึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่อย่างเดียว”
——
[1] แมวตาบอดจับหนูตาย ตัวเองไม่ได้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่บังเอิญประสบความสำเร็จ
[2] ยามเฉิน ช่วงเวลาประมาณ 7:00น. – 9:00น.