ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 118 มีเกิดและมีดับ
“หลีมู่ เดี๋ยวอีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก คงไม่พาเจ้าไปด้วยนะ…”เมื่อซูเหลียนอวิ้นกินข้าวเช้าเสร็จก็เอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล
มือของหลีมู่ที่กำลังเก็บกวาดโต๊ะอยู่พลันหยุดชะงัก “แล้วคุณหนูจะกลับมาตอนไหนเจ้าคะ?” จากนั้นจึงหันหน้ามามองตาของซูเหลียนอวิ้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อใจและไม่เห็นด้วย
“เรื่องนี้…” มือของซูเหลียนอวิ้นจับอยู่ที่บริเวณใบหู “คงจะเป็นช่วงบ่ายกระมัง? วันนี้ข้าจะต้องรีบกลับอย่างแน่นอน!”
“แต่ครั้งที่แล้วที่คุณหนูบอกว่าจะไปไหว้พระแก้บนที่วัดฝ่าฝัว คุณหนูก็พูดแบบนี้…” หลีมู่มองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างเชื่องช่า “คุณหนูบอกว่าแค่ไปแก้บนเท่านั้น แต่สุดท้าย…”
“ครั้งที่แล้วมันเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม!” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้เพราะไม่อยากจะได้ยินอีก นางรู้ดีว่าหลีมู่จะต้องเอาเรื่องนี้มาพนันกับนาง! แต่ครั้งนั้นก็…
“หลีมู่ถึงอย่างไรเจ้าก็วางใจได้ ตอนบ่ายวันนี้ข้าต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
“แต่ว่า…”
“หลีมู่หากเจ้ายังพูดอีก ครั้งหน้าเวลาข้าจะออกไปไหน ข้าคงจะไม่บอกเจ้าก่อนแล้ว เพราะพอข้าบอกเจ้าเจ้าก็ไม่ให้ข้าไป เช่นนั้นสู้ข้าไม่บอกเจ้าแล้วออกไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องฟังเจ้าบ่น ดียิ่ง!” ซูเหลียนอวิ้นนวดหูตัวเองด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว
“…เจ้าค่ะคุณหนู แต่คุณหนูบอกว่าจะกลับมาตอนบ่ายก็ต้องกลับมานะเจ้าคะ! ก่อนตะวันตกดินคุณหนูจะต้องกลับมาแล้ว! มิฉะนั้น มิฉะนั้นบ่าวจะไปบอกนายท่านกับฮูหยินว่าคุณหนูแอย่องออกไปข้างนอกอีกแล้ว!”
เป็นอย่างที่คิดไว้เลย แม่หลีมู่คนนี้…
“อ่าๆ ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้แล้ว เอาล่ะ เก็บโต๊ะเสร็จแล้วกระมัง ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หลีมู่เจ้าออกไปก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ที่กำลังหอบถ้วยและตะเกียบอยู่ สุดท้ายจึงเดินพลางกล้ำกลืนคำพูดออกไป
ซูเหลียนอวิ้นแต่งตัวเป็นผู้ชายอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงส่องกระจกดู อื้ม หล่อยิ่ง เนื่องจากเมื่อชาติที่แล้วนางมักจะแอบย่องออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ดังนั้นการปลอมตัวเป็ยบุรุษสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วถือเป็นเรื่องที่นางจัดการได้อย่างถนัดมือมาก
เฮ้อ แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า…มันสมบูรณ์แบบมากเกินไปหน่อย ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่กลัวว่าตรงนั้นจะเผยออกมาและมัวแต่กังวลจนทำให้เสียความมั่นใจไป!
บนเขาวัดฝ่าฝัว
“โอ้โฮ ศิษย์น้องต้วนนี่เอง มาทำไมอีกแล้ว?” เมื่อหรงซู่เห็นต้วนเฉินเซวียนที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะหินตัวนั้นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เชิญมาก็เริ่มรู้สึกปวดหัว “ศิษย์น้องต้วน ศิษย์พี่คิดว่าเจ้าต้องจ่ายค่าน้ำชาให้ข้าแล้วล่ะ เพราะชาของข้าราคาแพงทีเดียว ข้าจะไปต้อนรับให้เจ้ามาดื่มไหวได้อย่างไร?”
ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นหรงซู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังส่งเสียงถอนใจ เขาก็ส่งสายตาอาฆาตให้
“เรื่องเมื่อวานนี้ยังไม่จบ” เมื่อวางถ้วยน้ำชาลง ต้วนเฉินเซวียนก็เอ่ยปากขึ้นอย่างเย็นชา
“เรื่องอะไรหรือ?” หรงซู่เอ่ยปากขึ้นพร้อมทำหน้าตานึกอะไรไม่ออก “ศิษย์น้อง เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
“ท่านอย่ามาทำไขสือ! ท่านพูดอะไรกับซูเหลียนอวิ้นไปบ้าง?” ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นยืน “ทำไมจู่ๆ นางถึงสนิทกับศิษย์พี่หญิงหนานกงได้? ยังมีอีกเรื่องคือทำไมนางถึงเรียกท่านว่าท่านอาจารย์? พวกท่านทั้งสองคนตามที่ข้าเคยเข้าใจคือไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน”
“หรงซู่ เรื่องราวทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าท่านจะยังติดคำอธิบายกับข้าเอาไว้”
หรงซู่หันไปจัดยาสมุนไพรในมือของเขาเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่รู้สึกเสียใจมาก เจ้าลองบอกข้ามาซิ เจ้าเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าศิษย์พี่หญิงได้แล้วทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่ไม่ได้? พวกเราสองคนมีอะไรแตกต่างกันหรือ? ศิษย์น้อง การที่เจ้าทำเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจมาก”
“และเนื่องจากว่าข้าเสียใจมาก ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าข้าคงบอกเจ้าไม่ได้”
ต้วนเฉินเซวียนตั้งท่าจะพูดต่อ แต่ในตอนนั้นเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปส่งสัญญาณให้หรงซู่ เพราะสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ นอกจากเขาแล้วจะยังมีใครอยากมาอีก?
หรงซู่ชี้ไปในห้องเพื่อบอกให้ต้วนเฉินเซวียนเข้าไปหลบก่อน จากนั้นค่อยอธิบายให้เขาฟังทีหลัง
“ท่านอาจารย์! ข้ามาแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นอุ้มดาบมาด้วยมือทั้งสองข้างแล้วมองไปยังหรงซู่ “ท่านอาจารย์ที่นี่ไม่เห็นมีคนอยู่เลย? เมื่อกี้เหมือนข้าได้ยินท่านกำลังพูดอยู่กับผู้ใด”
หรงซู่ทำหน้าตาย “อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์กำลังคุยอยู่กับยาสมุนไพรที่อยู่ในมือของข้านี่ไง ข้าจะพูดเองเออเองบ้างไม่ได้หรือ?”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้สงสัยต่อ เนื่องจากนอกจากนางแล้วก็ไม่เคยเห็นผู้อื่นมาหาหรงซู่ที่นี่อีก
“อ้อจริงด้วย ท่านอาจารย์ดูนี่สิ ในวันงานพิธีปักปิ่นของข้า มีคนมอบกระบี่ชั้นยอดให้ข้าจริงๆ ด้วย!” ซูเหลียนอวิ้นแกว่งกระบี่ตรงหน้าหรงซู่ด้วยความภาคภูมิใจกับของตรงหน้า “แต่หลีมู่บอกข้าว่า คนที่มอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้…ดังนั้นข้าเลยไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้ข้า” คนผู้นี้แปลกประหลาดนัก จะให้ของผู้อื่นทั้งที่กลับไม่ยอมบอกว่าตัวเองคือใคร
“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นคนมอบให้ข้าใช่หรือไม่?” ซูเหลียนหน้าเงยหน้ามองไปยังหรงซู่ “ท่านอาจารย์คงมิได้รู้สึกอายจนตั้งใจหลอกข้าว่าผู้อื่นจะมอบให้ข้ากระมัง? แต่ความจริงแล้วท่านเป็นผู้มอบให้ข้าเอง ฮ่าๆ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
ภายในห้อง ต้วนเฉินเซวียนที่กำลังฟังซูเหลียนอวิ้นวิเคราะห์อย่างมั่นอกมั่นใจอยู่นั้นเกือบจะพุ่งตัวออกมาแล้วหยิกหูของนางเพื่อที่จะบอกนางว่า กระบี่เล่มนี้เขาเป็นผู้ซื้อมันมาเอง เขาเป็นคนมอบให้นางเองเข้าใจหรือไม่? หรงซู่ขี้งกเสียขนาดนั้นจะยอมเสียเงินหรือ? อีกอย่างเขาจะตาถึงเช่นนี้เลยรึ?
“ฮ่าๆ…” หรงซู่วางของในมือของตัวเองลง จากนั้นจึงลากซูเหลียนอวิ้นไปเดินเล่นที่อื่น คำพูดที่อวิ้นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเมื่อครู่นี้คงไม่ถึงหูคนที่อยู่ในห้องผู้นั้นกระมัง? หากบอกว่าเขาได้ยินไปแล้วล่ะก็…ช่างเถิด คำพูดต่อจากนี้คงต้องหลบออกไปไกลๆ หน่อย
“อวิ้นเอ๋อร์ กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ของอาจารย์จริงๆ แม้ว่าอาจารย์จะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้เจ้า แต่ว่าคนผู้นั้น…เขาเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายมาก! เขาไม่ยอมให้ข้าพูด ดังนั้นข้าจึงต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ อวิ้นเอ๋อร์จำไว้พียงอย่างเดียวว่ากระบี่เล่มนี้ ไม่ใช่ของอาจารย์แน่นอน!”
เขาไม่อยากจะเอาความดีเข้าตัวเลยสักนิด !
“อย่างนี้เอง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง ท่านอาจารย์ ทำไมข้าถึงมักจะรู้สึกว่า กระบี่เล่มนี้…มีบางอย่างผิดปกติ? มันให้ความรู้สึกแปลกพิกลอย่างไรก็ไม่รู้…แต่ว่าข้าชอบมันมากเลย!”
หรงซู่ไม่ได้ตอบอะไร ทว่าตอนที่เขาสัมผัสโดนตอนที่รับมันมานั้น สีหน้าของเขาพลันกลัดกลุ้ม
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ?” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เอ่ยขึ้น “กระบี่เล่มนี้มีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
หรงซู่มิได้สนใจนาง เขาเพียงค่อยๆ ดึงดาบออกมาเล็กน้อย แล้วมองไปยังตัวอักษรสองตัวที่สลักเอาไว้ว่าจิ้งหว่าน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่มีอะไร” หรงซู่ยิ้มแล้วส่งกระบี่เล่มนี้คืนให้ซูเหลียนอวิ้น “กระบี่เล่มนี้…คงจะเป็นคู่กายที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารู้จักองค์หญิงจิ้งหว่านหรือไม่?”
“จิ้งหว่าน?” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดจากนั้นจึงส่ายหน้า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย”
หรงซู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวโดยย่อขององค์หญิงจิ้งหว่านให้นางฟัง จากนั้นจึงยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเอ่ยว่า “หลังจากนั้นนะอวิ้นเอ๋อร์ กระบี่เล่มนี้อาจจะมีจิตวิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านอยู่ในนั้นด้วย เจ้ากลัวหรือไม่?”
ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลงมองกระบี่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบว่า “ไม่กลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ข้ากลับไม่รู้สึกกลัว”
“เช่นนั้นก็ดี มีด้านมืดจึงมีด้านสว่าง มีเกิดจึงมีดับ หากเจ้าไม่กลัว อย่างนั้นกระบี่เล่มนี้ก็ถือว่าเป็นของเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว”