ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 119 เล่าเรียน
“มีด้านมืดจึงมีด้านสว่าง มีเกิดจึงมีดับ…?” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าครุ่นคิดประโยคทั้งสองนี้
“อืม” หรงซู่พยักหน้าแล้วเผลอมองไปยังด้านหลังบ้านแล้วเอ่ยต่อว่า “คนอื่นหากถือดาบเล่มนี้ไว้ โดยปกติแล้วจะเกิดเรื่องราวขึ้นได้สองแบบ”
“สองแบบไหน?” ซูเหลียนอวิ้นเก็บดาบในปลอกแล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“ถ้าไม่ถูกดาบควบคุมเพื่อไปแก้แค้น ก็จะใช้ดาบเล่มนี้ไม่ได้ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าดาบเล่มนี้เย็นยะเยือกผิดธรรมดา แม้ว่าจะพยายามฝืนตัวเองให้ใช้ดาบนี้ก็คงจะแสดงประสิทธิภาพของตนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“แก้แค้น?” ซูเหลียนอวิ้นตกตะลึง “ให้ใคร? องค์หญิงจิ้งหว่านรึ? แต่จะแก้แค้นอย่างไร?” เพราะคนในราชวงศ์ก่อน ตายไปหมดแล้วมิใช่หรือ…
“อืม…จะพูดอย่างไรดี เป็นเพราะว่าคนที่ถูกกระบี่ควบคุมส่วนมากจะเป็นสตรี สตรีมีอารมณ์โศกเศร้าและอ่อนโยน ภายใต้ความอ่อนโยนโศกเศร้านี้จะไปกระตุ้นกระบี่เล่มนี้ แต่บุรุษมีพลังในแบบผู้ชายที่เข้มข้นเกินไป ดาบเล่มนี้คงจะเกิดความยำเกรงขึ้น เนื่องจากมันก็เป็นเพียงดาบเล่มหนึ่งเท่านั้น
“แต่อวิ้นเอ๋อร์นั้นแตกต่างไป” เมื่อหรงซู่เอ่ยถึงตรงนี้ก็ตั้งใจลดเสียงลงไปแล้วกระซิบต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่กลับมาเกิดอีกรอบหนึ่ง ในดวงจิตของเจ้ายังไม่มีความเกลียดชังมากนักรวมทั้งพลังหยางจากทั้งสองภพ บวกกับเจ้าเป็นสตรีด้วยแล้ว เหมาะสมลงตัวกับดาบเล่มนี้พอดี เจ้าจะไม่ข่มพลังมันและจะไม่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นการที่เจ้าเป็นผู้ครองคงจะถือว่าเป็นการเหมาะสมที่สุดแล้ว”
เวลานี้ต้วนเฉินเซวียนพยายามที่จะเอาหูของตนแนบชิดกับขอบประตูเพื่อฟังว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ เพราะเขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าการสนทนาต่อจากนี้ของหรงซู่จะต้องมีไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน! แต่หรงซู่เองก็เป็นคนมีวรยุทธ์อีกทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของเขาด้วย จึงกล่าวได้ว่าใน
ด้านวรยุทธ์ พวกเขาทั้งสองไม่สามารถเสมอกัน ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะกันได้
ดังนั้นในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหรงซู่ไม่อยากให้เขาได้ยินเรื่องราวนี้ ด้วยเหตุนี้ต้วนแนเซวียนจึงทำได้เพียงเดาอย่างขาดๆ ตอนๆ เท่านั้น
“แต่ว่า…” หรงซู่นำมือของตนเคาะเบาๆ ไปที่คางของตัวเองสองสามทีแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า…ช่างเถอะ มันก็ไม่แน่ พอถึงวันนั้นแล้วค่อยพูดก็ได้ คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไร…”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกสับสนเมื่อเห็นท่าทางน่าพิศวงและการพูดจาครึ่งๆ กลางๆ ของหรงซู่ “คงจะ? คงจะไม่มีเรื่องใหญ่หมายความว่าอย่างไร? หากเกิดเรื่องขึ้น ก็คงสายไปเสียแล้ว!” ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ ท่านอาจารย์ก็ยังคงเป็นคนไม่น่าเชื่อถือเหมือนเดิม!
“เอาเป็นว่ากระบี่เล่มนี้ไม่เป็นอันตรายกับเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าวางใจได้ ที่ข้าพูดนั้นหมายถึงส่วนน้อย แม้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า ทว่าสำหรับผู้อื่นแล้ว…” หรงซู่หัวเราะแหะๆ “มิอาจรับประกันได้”
“อ่อ อย่างนั้นก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวก็เอ่ยต่อว่า “ไม่ได้สิ! แล้วหากเป็นพี่ชายหรือว่าท่านแม่หรือคนในครอบครัวข้าเล่า?” หากพวกเขาโดนทำร้าย นั่นต้องทำให้นางรู้สึกผิดจนตายแน่! เช่นนี้มิสู้ทำร้ายตัวนางจะดีกว่า!
“วางใจเถอะ!” หรงซู่ลูบหน้าผากตัวเองพลางบ่นในใจ อวิ้นเอ๋อร์จะอย่างไรก็ถือเป็นผู้ที่อยู่มาสองชาติแล้ว เหตุใดความคิดในบางเรื่องถึงไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย? “ในเรื่องราวขององค์หญิงจิ้งหว่าน ข้าได้พูดถึงพ่อแม่ของนางให้เจ้าฟังหรือ? ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก”
ท่าทางของหรงซู่ในตอนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อแล้วจึงหยุดพูดแล้วทำท่าราวกับคิดเรื่องอื่นออกจึงเอ่ยว่า “จริงสิ อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ได้บอกอาจารย์เลยว่าเหตุใดในงานพิธีปักปิ่นของเจ้าถึงปรากฏหนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้วย? ตอนที่เจ้ามาเชิญข้าไปงานในครั้งก่อน เจ้าไม่เห็นเอ่ยถึงสักคำ”
“เอ๊ะ? งั้นหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ แล้วเกาศีรษะ “หนานกงมู่เสวี่ย..นางมาร่วมงานแล้วมีปัญหาอะไรหรือ? นางเป็นถึงจวิ้นจู่เชียวนะ! อีกอย่างหากข้าจะเชิญหนานกงมู่เสวี่ยมาด้วย ทำไมข้าต้องบอกท่านอาจารย์ด้วย? ท่านอาจารย์สนใจนางถึงขนาดนี้? คงมิได้พยายามหาทางหลบนางกระมัง?”
“มันเป็นเพราะเหตุใดกัน? ท่านอาจารย์ตอบคำถามข้อนี้ของข้าก่อนได้หรือไม่? แล้วก็อาจารย์ของท่านคือใครกันแน่? แล้วก็ท่านกับต้วนเฉินเซวียนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น! แล้วก็…”
“หยุด!” หรงซู่ยื่นมืออกไปเคาะหัวซูเหลียนอวิ้น “ในหัวสมองเม็ดถั่วเขียวของเจ้าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอยู่บ้าง? ทำไมถึงมีปัญหาเยอะเช่นนี้? วันนี้ข้าจะตอบคำถามเจ้าเพียงคำถามเดียว เจ้าคิดดูให้ดีๆ ก่อนแล้วค่อยถาม”
ซูเหลียนอวิ้นเบะปากมองไปยังหรงซู่ ท่านอาจารย์เหตุใดถึงขี้งกนัก? นางลองคำนวนคร่าวๆ ดูแล้ว คำถามของนางที่อยากจะถามมีมากกว่าสิบข้อ! แต่เขากลับบอกนางว่าจะตอบคำถามนางเพียงข้อเดียว? ขี้งก ขี้งกมากเกินไปแล้ว!
“ข้าขอคิดก่อน…” โอกาสครั้งนี้คว้ามาได้ยากยิ่ง ดังนั้นนางต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียหน่อย มิฉะนั้นคงจะเสียโอกาสไปได้!
พักใหญ่ ซูเหลียนอวิ้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านอาจารย์บอกข้ามาก่อน ท่าน…กับต้วนเฉินเซวียนและหนานกงมู่เสวี่ย สาบานตัวเป็นลูกศิษย์กัน จากนั้นพวกท่านก็…เฮ้อ อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ข้อนี้!
“เรื่องนี้หรือ” หรงซู่เผยรอยยิ้มกว้าง “เรื่องนี้ข้าบอกเจ้าได้” ตอนแรกเขาเดาเอาจากนิสัยที่ชอบข่าวโคมลอยของอวิ้นเอ๋อร์แล้ว่ารู้ว่านางจะตามถามเขาอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเขากับหนานกงมู่เสวี่ยมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวของเขากับหนานกงมู่เสวี่ย
คิดไม่ถึงเลยว่าอวิ้นเอ๋อร์จะถามคำถามนี้? คำถามข้อนี้นั้นไม่ซับซ้อนสักนิด จะให้เขาบอกนางทั้งหมดยังได้
แต่ว่า…หรงซู่แอบถอนใจ ดูท่าแล้วในใจของซูเหลียนอวิ้นนี้ยังคงมีที่สำหรับเจ้าเด็กหน้าเหม็นต้วนเฉินเซวียนอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเอ่ยถึงเขาทำไมกัน? นี่ทำให้เขาอดทอดถอนใจมิได้ ศิษย์น้องของเขาคงใกล้จะถึงเวลาแต่งงานแล้วจริงๆ!
“ตอนนั้นข้าสาบานตนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ของพวกข้าตอนอายุได้ห้าปี หนานกง…จวิ้นจู่อายุได้หกปี ส่วนต้วนเฉินเซวียนอายุได้เก้าขวบ
“อ่อๆ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “จากนั้นเล่า? พวกท่านก็บำเพ็ญกันตลอดมาเลยหรือ? ไม่ลงจากเขากันมาบ้างเลยรึ?” เพราะหากเขาลงจากเขามาบ้าง ด้วยสติปัญญาของท่านอาจารย์เขาจะต้องรู้เรื่องราวที่บ้านของเขาถูกกำจัดในตอนนั้นอย่างแน่นอน…
“ข้าไม่ได้ลงจากเขาเลย” หรงซู่ส่ายศีรษะ “ปกติแล้วจะมีเพียงเจ้าเด็กต้วนเฉินเซวียนนั่นเพียงผู้เดียวที่ลงไปวิ่งเล่น และการขึ้นๆ ลงๆ นั้นเหนื่อยเกินไป อีกอย่างข้ายังเป็นศิษย์พี่ใหญ่สุด การแอบไปเที่ยวเล่นเช่นนั้น เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเกินไป!
“โดยปกติแล้วพวกท่าฝึกอะไรกันบ้างหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นให้ความสนใจกับคำถามข้อนี้มาก นางวางกระบี่ไว้บนโต๊ะแล้วโน้มไปข้างหน้าอย่างอยากรู้ “ฝึกวรยุทธ์เพียงอย่างเดียวหรือ? มีฝึกอย่างอื่นอีกหรือไม่ ข้าขอฝึกบ้างได้หรือไม่” นางเองก็อยากเรียนวิชาการเสี่ยงทายและการดูดวงชะตาประเภทนี้กับหรงซู่บ้าง เพราะไม่เพียงแค่ฟัง แต่แค่พูดขึ้นมาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความลึกลับอย่างยิ่ง! ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของนางได้มากไปกว่านี้แล้ว
“อืม ข้าเรียนเพียงแค่ศาสตร์การแพทย์ฉีหวง[1] ส่วนต้วนเฉินเซวียนเรียนเรื่องแนวคิดด้านการปกครองสำหรับเชื้อพระวงศ์ ส่วนหนานกง เนื่องเพราะนางเป็นสตรีจึงเรียนเพียงวิชาสี่ศิลปวิทยา ทว่าระดับการเรียนของนางนั้น หากเทียบกับข้าและต้วนเฉินเซวียนแล้วถือว่าช่ำของกว่ามากนัก” หรงซู่กล่าวเรียบๆ
แต่ละคนเรียนได้เพียงด้านเดียวหรือ? เหตุใดจึงเรียนทุกด้านไม่ได้เล่า?” เพราะจากนิสัยของหรงซู่แล้วเขาดูไม่ใช่คนประเภทที่ว่าพอขี้เกียจแล้วไม่อยากเรียนต่อเสียหน่อย
——
[1] ศาสตร์การแพทย์ฉีหวง ฉีหมายถึงหมอหลวงฉีปั๋ว ส่วนหวงหมายถึงพระเจ้าหวงตี้ ทั้งสองคนนี้ร่วมกันคิดค้นตำราการแพทย์แผนจีนขึ้นมา