ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 120 หึงหวง
“เพราะว่าคนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือความละโมภ” หรงซู่ไม่แสดงอารมณ์ใด
“ก็ใช่” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “คนเรามีชีวิตอยู่ ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์พร้อมไปทุกเรื่องได้”
“แต่ท่านอาจารย์เพิ่งบอกไปว่า ท่านเรียนศาสตร์ด้านการทำนายดวงชะตาและเสี่ยงทาย ส่วนต้วนเฉินเซวียนเรียนศาสตร์ด้านการเมืองการปกครอง? ฟังดูแล้วยอดเยี่ยมทั้งสิ้น! แต่ทำไมหนานกงมู่เสวี่ยถึงได้เรียนเพียงวิชาสี่ศิลปวิทยาเท่านั้น? ความแตกต่างนี้…” ดูๆ แล้วคล้ายไม่ใช่วิชาในระดับเดียวกันเลย! หรือว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ้นผู้นั้นลำเอียง? เนื่องจากการให้ความสำคัญกับบุรุษและดูถูกสตรีเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้! แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่มีบุคลิกสูงส่งราวเทพเซียนอย่างเช่นในนิยายจะมีนิสัยเสียเช่นนี้ด้วย?
คนเรามิอาจดูเพียงภายนอก แล้วรีบเชื่อโดยไม่พิจารณาให้ดี เฮ้อ
“สมองเม็ดถั่วเขียวของเจ้าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอยู่บ้าง!” หรงซู่เขกหัวซูเหลียนอวิ้นอย่างขบขันแล้วอธิบายว่า “อาจารย์เองก็คิดเช่นเดียวเขาเหมือนกัน เพราะหากพูดถึงสติปัญญาและการวางแผน หนานกงไม่น้อยหน้าข้ากับต้วนเฉินเซวียนอย่างแน่นอน อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่แน่วแน่และไม่เต็มใจที่จะทำบางเรื่อง หากตอนนั้นท่านอาจารย์สอนนางจริงๆ คงจะโดดเด่นมากกว่าข้ากับต้วนเฉินเซวียนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า”
“แต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี เพราะว่าในโลกปัจจุบันนี้ สตรีต้องประสบกับความเข้มงวดและโหดร้ายมากกว่าบุรุษมากนัก บวกกับฐานะของนางแล้ว…” เมื่อหรงซู่เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ค่อยปกตินัก “การมีฐานะเป็นพระราชวงศ์ แม้ว่าจะเป็นสตรี แต่ก็ต้องรู้จักรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางจะดีที่สุด เพราะการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดชีวิตย่อมดีกว่าการทำอะไรตามใจไปเรื่อย”
“อ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นรับคำแล้วยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาวางไว้บนโต๊ะหินแล้วเอาหัวซุกไว้ด้านใน “อย่างนั้นท่านอาจารย์ว่าข้าสามารถเรียนทำนายดวงชะตากับท่านได้หรือไม่? ข้าเองก็ไม่ใช่คนในราชวงศ์คงจะไม่เป็นไรกระมัง?”
ในความเป็นจริง ปัจจุบันนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่ดีต่อสตรี แต่นั่นจะเป็นอย่างไรเล่า? ตัวเองขยันให้มากๆ หน่อยก็คงพอชดเชยกันได้?
อีกอย่างไม่มีใครเคยบอกว่าสตรีจะต้องอ่อนแอกว่าบุรุษ? ผู้ที่จะเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาได้ต้องเป็นคนที่คิดว่าชีวิตนี้ของตนจะต้องต่ำต้อยกว่าผู้อื่นเลยหวาดกลัว เพราะหากแม้แต่ตัวเองยังยอมแพ้ เช่นนั้นก็คงไม่เหลือความหวังแม้เพียงน้อยนิด
“อวิ้นเอ๋อร์เจ้าอยากเรียนหรือ?” หรงซู่ยื่นมือออกไปกระทุ้งซูเหลียนอวิ้นที่หมอบอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม
“อยาก!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแววตาของนางเต็มไปด้วยการอ้อนวอนและยืนหยัดที่สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
“เอ่อ แต่ว่าซูเหลียนอวิ้น…” หรงซู่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “อวิ้นเอ๋อร์เจ้ารู้ฐานะของข้าหรือไม่? ข้าเดาว่า หนานกงคงบอกเจ้าแล้วกระมัง”
“รู้แล้ว หนานกงจวิ้นจู่บอกข้าแล้ว” ท่านอาจารย์ที่น่าสงสาร ต้องทนรับความหันเหในชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก น่าสงสารจนมิอาจจะสงสารไปมากกว่านี้ได้แล้ว!
“ดังนั้นหากอวิ้นเอ๋อร์ต้องการจะเรียน เจ้าต้องเป็นแบบข้าก่อน มิเช่นนั้นก็เรียนไม่ได้”
“อะไรนะ?” หมายความว่าอย่างไร? เป็นเหมือนท่านอาจารย์? คงมิได้…?
“ก็ตามที่เจ้าคิดไว้นั่นแหละ” หรงซู่ยิ้มตาปิดพลางลูบหัวซูเหลียนอวิ้น “หากเจ้าต้องการเรียนเรื่องนี้ ข้อแม้ข้อแรกก็คือคนในครอบครัวทั้งหมดจะต้องได้รับภัยพิบัติจนถึงแก่ความตาย เพราะมีได้ก็ต้องมีเสีย”
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังอยากเรียนอยู่หรือไม่?”
“ไม่” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ จากนั้นจึงโน้มตัวด้านบนขึ้นไม่ฟุบหน้าอีกต่อไป เพราะตอนนี้นางรู้สึกว่าโต๊ะหินนี้เริ่มเย็นขึ้น แถมโต๊ะนี้…ตอนนี้นางมือไม้เย็นไปหมด!
“ข้า ไม่ เอา!”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายมาก” หรงซู่ผายมือทั้งสองออกด้านข้าง “เพราะข้าเห็นว่าเจ้ามีหน่วยก้านดีมาก เพียงดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีความสามารถแบบหาตัวจับยาก! แต่เจ้ากลับไม่เรียนซะนี่ ช่างน่าเสียดายยิ่ง น่าเสียดายจริงๆ” แม้ว่าปากของเขาจะบอกว่าน่าเสียดาย แต่รอยยิ้มของหรงซู่กลับแสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาใส่หรงซู่ นางขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว เพราะเรื่องราวของคนในบ้านเอามาพูดล้อเล่นส่งเดชได้หรือ? ใช่หรือไม่?
ท่านอาจารย์ช่างน่านัก! ช่างเถิด เห็นแก่ว่าตอนเด็กเขา…ตอนนี้ขอหยุดพักแล้วปล่อยเขาไปก่อน หากมีครั้งหน้าอีก หรงซู่จะต้องได้เห็นดีแน่!
“ลา ก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นเพื่อคะเนเวลาจากนั้นจึงเอ่ยเพียงสองคำนี้อย่างถือตัวเตรียมตัวจะลากลับ
เนื่องจากนางได้รับปากหลีมู่เอาไว้แล้วว่าจะรีบกลับ ดังนั้นครั้งนี้เมื่อพูดไปแล้วก็ไม่ควรผิดคำพูด อีกอย่างตอนที่นางกำลังจะออกเดินทางนั้น สายตาจับจ้องของหลีมู่เช่นนั้น ตอนนี้นางยังคงจำได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ไม่ว่าผู้ใดจะมองเห็นต่างถือว่าเป็นโอกาสที่ยากจะเพิกเฉยได้
“อืมๆ ไปเถิดๆ” หรงซู่ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยต่อไปว่า “แต่เมื่ออวิ้นเอ๋อร์กลับไปถึงแล้ว สิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด เรื่องนี้เจ้าคงแยกแยะเองได้อยู่แล้วกระมัง”
“หมายความว่าอย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปสองก้าว มือทั้งสองของนางอุ้มดาบเอาไว้ สีหน้าของนางมองมายังหรงซู่อย่างระมัดระวัง
เมื่อดูสถานการณ์ตอนนี้ ต้องลุ้นเหตุการณ์นาทีต่อนาทีว่านางจะชักดาบออกมาแล้วทะเลาะกับหรงซู่เมื่อไหร่
“เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าพูดอีกรึ?!” เมื่อหรงซู่เห็นการตั้งท่าป้องกันตัวของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้อารมณ์ก็เดือดพล่านขึ้นมา
เขาก้าวไปข้างหน้า มือของเขากำมีดสั้นเอาไว้แล้วจ่อไปเคาะที่ศีรษะของซูเหลียนอวิ้น อีกทั้งท่าทางของเขานั้นไม่เหลือความเมตตาเอ็นดูใดๆ เหลืออยู่อีก “หากเจ้ากล้าไปพูดจาเรื่อยเปื่อยกับหนานกงมู่เสวี่ยล่ะก็…อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าต้องรับผลที่เจ้าทำด้วยตัวเอง!”
ซูเหลียนอวิ้นกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้แล้วจ้องเขม็งไปยังหรงซู่ “ท่านจะพูดจาดีๆ ไม่ได้เลยรึ?! หากครั้งหน้าเจ้ากล้าทำร้ายข้าอีก ข้า ข้าจะไปหาหนานกงมู่เสวี่ยที่เรือนของนาง จากนั้นจะนำเรื่องราวทั้งหมดของเจ้าหลายปีมานี้เปิดโปงออกมาให้หมด! มาดูกันว่าเราสองคนใครจะโหดเ**้ยมกว่ากัน!”
หรงซู่ไม่ได้เบามือลงเลยแม้แต่น้อย! นางเจ็บจะแย่อยู่แล้ว! อีกอย่างพูดกันดีๆ ก็ได้มิใช่หรือ? เหตุใดถึงกล้าลงไม้ลงมือกับนาง?! ความแค้นครั้งนี้ นางจะจดจำเอาไว้!
เฮอะ อีกอย่างหนึ่ง นางดูเป็นคนที่ยอมขายอาจารย์เพื่อเพื่อนเลยหรือ? เรื่องราวเช่นนี้นางไม่มีทางทำอย่างแน่นอน!
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นคนขี้ลืมมากทีเดียว เมื่อชั่วยามที่แล้วยังขายอาจารย์ตัวเองอยู่เลย แต่พอถึงตอนนี้กับลืมทุกอย่างไปสิ้นแล้ว
“ไปเถิดๆๆ!” หรงซู่จับตัวของซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปอีกทางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจเจ้าเป็นอย่างยิ่ง! ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์เจ้ารีบลงเขาไปเสียเดี๋ยวนี้ อีกประเดี๋ยวพอดึกแล้วเจ้ากลับถึงบ้านก็ไม่มีอะไรเหลือให้เจ้ากินอีก! รีบกลับไปเถิด!”
“เฮอะ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียง จวนตระกูลซูมิได้ขี้งกอย่างเจ้า! ที่อยากจะกินข้าวสักมื้อก็ต้องออกไปล่าสัตวากินเอง
อีกอย่างนางยังมีหลีมู่ทั้งคน! หลีมู่ของนางแม้ว่าจะขี้บ่นมากไปหน่อย ส่วนด้านอื่นๆ ดีต่อนางหรือไม่นั้น ตนคงต้องบอกว่าเยี่ยมยอดยิ่งนัก! นางจะยอมให้นางทนหิวได้อย่างไร!
“คุยกันจบรึยัง?” ผ่านไปพักใหญ่ต้วนเฉินเซวียนเดินออกมาจากด้านในกระท่อม น้ำเสียงของคลุมเคลือยากจะเข้าใจ “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้ากับแม่นางคนนั้นจะมีความสัมพันธ์ดีต่อกันขนาดนี้ ศิษย์พี่หญิงรู้เรื่องนี้หรือไม่? หากไม่รู้ ข้าคิดว่าพวกเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน จะว่าไปแล้วก็ควรบอกสักหน่อยใช่หรือไม่”
หรงซู่เอ่ยว่า “ศิษย์น้องต้วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางหึงหวงของเจ้าในตอนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว”