ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 121 สาปแช่ง
“หรงซู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ต้วนเฉินเซวียนก้าวออกมาข้างหน้าอีกสองสามก้าว แววตาของเขาอยากจะเอาชีวิตของหรงซู่ “เจ้าบอกว่าข้าหึงรึ? ข้าหึงใคร?”
หรงซู่เบี่ยงตัวหลบ “จะหึงผู้ใดได้อีก ก็ต้องหึง…” หรงซู่เอ่ยเพียงครึ่งประโยคก็ตัดสินใจสงบปากสงบคำ สายตาที่เขาใช้มองต้วนเฉินเซวียนวิบวับเป็นประกาย ทว่าแม้ปากของเขาจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ต่อแล้ว ทว่าแววตาของเขากลับแสดงถ้อยคำนับหมื่นนับแสน!
“ข้าหึงซูเหลียนอวิ้นรึ?! หรงซู่เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ? นี่เจ้าเริ่มเพี้ยนไปแล้วรึ!” ต้วนเฉินเซวียนตะคอกใส่เขา
“ดูสิ” หรงซู่ใช้สายตาแบบ เจ้าดูสิ ข้ารู้อยู่แล้ว ขนาดลองเดายังเดาถูก จากนั้นจึงมองไปที่ต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้ายังไม่ได้เอ่ยเลยว่าเจ้าหึงใคร แต่ตัวเจ้ากลับยอมรับออกมาเองเสียแล้ว ดังนั้นศิษย์น้อง เจ้าอย่าเอาแต่ปากแข็งอยู่เลย”
ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยว่า “….เรื่องสร้างปัญหาเจ้าคือที่หนึ่ง ข้าขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า แต่เมื่อกี้พวกเจ้าสองคนคุยกันเรื่องอะไร? เจ้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอย่างกระจ่างด้วย”
มีเกิดก็ย่อมต้องมีดับ? มีด้านสว่างย่อมมีด้านมืด? ประโยคนี้ต้วนเฉินเซวียนรับประกันได้เลยว่าเขาไม่ได้ฟังผิดอย่างแน่นอน แต่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
เกิด ดับ? ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเรื่องที่ยุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่กับเขาและความขัดแย้งและความลับหลายอย่างของซูเหลียนอวิ้น น่าจะเกี่ยวข้องกับประโยคนี้ ขอเพียงไขความหมายของประโยคนี้ได้ เขารับประกันว่า ปัญหาทั้งหมดจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
“ศิษย์น้องฟังผิดแล้ว” หรงซู่ยกเท้าก้าวเดินไปหยุดที่ตำแหน่งเดิมของตนแล้วจัดแจงยาสมุนไพรของตัวเองต่อ “อีกอย่างอะไรคือเกิด อะไรคือดับ ศิษย์น้องข้าเคยพูดถึงด้วยหรือ? เจ้าฟังผิดไปกระมัง”
“หรง ซู่!” ต้วนเฉินเซวียนเค้นสองคำนี้ออกมาจากลำคอ “เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะได้ไหม! หากวันนี้เจ้าไม่ยอมพูด ข้าจะเอาเรื่องราวเบื้องหลังของเจ้าทั้งหมดขุดออกมา เจ้าก็รู้ว่าตลอดมาข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง”
หรงซู่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโยนสมุนไพรที่ตากแดดเรียบร้อยแล้วในมือทิ้งอย่างกราดเกรี้ยว
เขาเงยหน้าขึ้นคำรามว่า ชีวิตของเขา ช่างรันทดนัก! เจอศิษย์น้องเป็นแบบนี้ยังไม่พอ แต่ลูกศิษย์ที่รับเอาไว้กลับเป็นเช่นนี้อีก?!
ผู้หนึ่งข่มขู่ตนว่าจะเอาเรื่องราวทั้งหมดของตัวเองเปิดเผยแก่หนานกงมู่เสวี่ย อีกผู้หนึ่งบอกว่าจะขุดเอาเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมาเปิดเผยอย่างถอนราถอนโคน
หรงซู่รู้สึกว่าเมื่อชาติที่แล้วเขาคงติดหนี้คนสองคนนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดชาตินี้คนสองคนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเป็นผีทวงหนี้มาคอยตามทวงหนี้เขาอย่างไรอย่างนั้น? เขารู้สึกจริงๆ ว่าตนคงไปติดหนี้คนสองคนนี้ตอนใดตอนหนึ่งอย่างแน่นอน
อีกอย่างหรงซู่คิดว่า เวลาที่สองคนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็เป็น…ก็เป็นพิษเป็นภัยต่อกันและกันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ก็แล้วกัน? หรืออย่างน้อยๆ ก็ถือเป็นการขจัดความทุกข์ให้เขา
หรงซู่สูดหายใจเข้ายาวเพื่อข่มคำก่นด่าและแช่งชักต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ในใจ เนื่องจากลูกศิษย์ของเขาก็ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาไม่ว่าจะอย่างไรก็ตัดไม่ขาด อีกอย่างการสาบแช่งเช่นนี้…แช่งเพียงต้วนเฉินเซวียนก็พอแล้ว! เพราะหากมองเพียงผิวเผินแล้วจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคำแช่งที่ทำให้รำคาญเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงซู่จึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยากรู้? เพราะเรื่องราวบางอย่าง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งไม่ดี ถ้ารู้น้อยลงหน่อยจะดีกับทุกคนมากกว่า”
“เหตุใดท่านถึงมีคำพูดเรื่อยเปื่อยมากมายเช่นนี้!” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าอยากรู้ นั่นหมายความว่าข้าคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแล้ว อีกอย่างเจ้า**พูดเรื่อยเปื่อยมากมายเช่นนี้ สุดท้ายข้าก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี? ดังนั้นเจ้ารีบหน่อยเถิดจะได้ไม่เสียเวลาของพวกเราทั้งสองฝ่าย”
สีหน้าของหรงซู่ไร้อารมณ์ใดๆ แต่ยังคงแช่งชักเขาอยู่ในใจ เป็นคำแช่งชักประเภทที่ว่าให้น้ำเย็นเข้าไปติดในร่องฟัน[1]ของต้วนเฉินเซวียน!
“เข้ามาข้างในและนอนลง” หรงซู่ชี้ไปยังที่นอนใบใผ่ของตน “อีกประเดี๋ยวพอข้าทำยาเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะเรียกเจ้า จากนั้นเจ้าก็ดื่มยานั้นเข้าไปแล้วนอนหลับสักตื่นหนึ่ง แล้วเจ้าจะรับรู้ความจริงทั้งหมดเอง”
ต้วนเฉินเซวียนจ้องไปทางหรงซู่ที่มองมาที่ตนอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจที่จะทำตามที่เขาพูด จากนั้นจึงนอนลงบนเตียง ทว่าปากของเขากลับยังคงบ่นอุบอิบว่า “แปลกประหลาดพิกล…หากข้ารู้ว่าเจ้าแอบทำอะไรไม่ดีล่ะก็ หรงซู่ หรงซู่ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องเสียใจอย่างถึงที่สุด!”
หากจะเอ่ยถึงความเป็นเจ้าแห่งแผนการแล้ว ต้วนเฉินเซวียนเป็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางสู้หรงซู่ได้อย่างแน่นอน และในตอนเด็กเขาก็ติดกับไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ดังนั้นต่อมาเขาถึงจะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก
วิธีการที่ดีที่สุดที่จะเอาคืนแผนการเจ้าเล่ห์ได้ก็คือกำปั้น เรื่องราวทุกอย่างเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันแล้วจะคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย
“ถอดรองเท้าออกด้วย!” หรงซู่ตะโกนบอก
เพราะในขณะที่เขากำลังผสมยาและต้องหันกลับมามองว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังทำท่าทางอย่างไรอยู่ด้วยนั้น เมื่อมองเห็นดังนั้นแล้ว ภาพที่เห็นทำให้หรงซู่โมโหจนแทบจะหน้ามืดไปเลยทีเดียว
ต้วนเฉินเซวียนขึ้นมานอนบนเตียงของเขาและก็นอนไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่ยอมถอดรองเท้าออก!
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หรงซู่รับไม่ได้อย่างมาก เพราะสำหรับหรงซู่นั้น การให้ผู้อื่นขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเองได้ถือว่าเป็นเรื่องที่พิเศษและใจกว้างมากแล้ว แล้วเจ้ายังกล้าไม่ถอดรองเท้าอีกหรือ?! หากย่ำเตียงของเขาเละเทะไปจะทำอย่างไร?
เพราะอีกครู่หนึ่งผลจากการกินยาเข้าไป หรงซู่อาจจะไม่สามารถคาดคะเนได้ถึงแปด เก้าส่วนในสิบส่วน แต่ก็พอจะรู้ผลถึงสามสี่ส่วน เขาจะต้องผจญกับฝันร้ายอย่างแน่นอน!
หากถึงตอนนั้นผลจากการไม่ถอดรองเท้าจนทำให้เตียงของเขาสกปรกขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องทำความสะอาดเพียงคนเดียวอยู่ดี เพราะคนอย่างต้วนเฉินเซวียนดูเป็นคนที่จะช่วยทำความสะอาดอย่างนั้นหรือ?
ดูแล้วไม่ใช่
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปยังหรงซู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมถอดรองเท้าอย่างว่าง่าย การไม่เถียงหรงซู่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง! เนื่องจากตอนนี้ใจของต้วนเฉินเซวียนค่อนข้างร้อนรน
คำตอบอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาไม่อยากรออีกต่อไป ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เอาวางทิ้งไว้ข้างหลังก่อนจะดีกว่า
จัดการเรื่องที่ค้างคานี้ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยต่อยหน้าหรงซู่สักทีก็ยังไม่สาย
“นอนเรียบร้อยแล้วใช่รึไม่” เวลาผ่านไปเนินนาน หรงซู่จึงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เจ้าดื่มนี่ซะ จากนั้นก็แค่รอ”
ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปรับถ้วยมาจากมือของหรงซู่ มองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพบว่าของเหลวที่อยู่ในถ้วยเป็นสีม่วงเข้ม เมื่อมองแล้วให้ความรู้…แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ใส่ยาพิษให้ข้า?” ต้วนเฉินเซวียนเหล่มองหรงซู่อย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก น้ำเสียงของเขากังวลอย่างยิ่ง! เพราะของชิ้นนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าสะอิดสะเอียน แล้วจะให้เขาดื่มของเช่นนี้เข้าไปได้อย่างไร?
“มาถึงขั้นนี้แล้ว! เจ้าจะยังลีลาอะไรอยู่อีกเล่า?” หรงซู่ยัดแก้วเข้าไปตรงกลางอกของต้วนเฉินเซวียน “โอกาสมีครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ! หากเจ้าพลาดโอกาสวันนี้ไป ครั้งหน้าไม่ว่าจะพูดอย่างไรหรือใช้วิธีการอะไร ข้าจะไม่มีทางรับปากเจ้าอย่างแน่นอน”
“อื้ม” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้ากระดกของเหลวในแก้วเข้าปากหมดรวดเดียว วินาทีต่อมาจากนั้น แก้วในมือของเขาก็ร่วงลงบนพื้น ส่วนตัวคนก็ฟุบหมดสติไป…
หรงซู่เก็บกระบอกไม้ไผ่ที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา “ยังดี…ที่ข้าไหวพริบดีจึงเลือกใช้อันนี้ หากใช้แก้วกระเบื้อง ป่านนี้แก้วของข้าคงจะแตกไปอีกใบ”
——
[1] น้ำเย็นเข้าไปติดในร่องฟัน มีความหมายว่าโชคร้ายที่สุด ทำอะไรก็ไม่ราบรื่น เพราะโดยปกติแล้วน้ำเปล่าไม่มีทางติดร่องฟันได้