ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 122 ความหลัง
เมื่อต้วนเฉินเซวียนตื่นขึ้นมา ความมืดก็ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?” ปากของหรงซู่ยังคงมีน่องไก่คาอยู่โดยเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง “เจ้าหลับไปนานมาก ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหลับไปสักสองสามชั่วยามเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าจะหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ!”
“แต่ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ตื่นมาเจ้าก็ไปได้แล้ว ข้าง่วงแทบแย่ เตียงของข้าถูกเจ้ายึดไปเช่นนี้ แถมข้ายังต้องกังวลอีกว่าเจ้าจะขยับตัวแรงจนกลิ้งตกลงมา ศิษย์น้อง วันนี้เจ้าติดหนี้ข้าไว้มากทีเดียว”
ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นนั่งแล้วก้มหน้ามองพื้นอยู่นานโดยไม่เอื้อนเอ่ย
“ศิษย์น้อง?” หรงซู่ยืนขึ้นแล้วโบกมือตรงหน้าต้วนเฉินเซวียนแล้วพึมพัมขึ้นว่า “ยานี้คงมิได้มีผลข้างเคียงกระมัง? ทำให้คนทึมทือแบบนี้ได้ด้วยรึ?! ก็ใช่…นี่เป็นครั้งแรกที่เราลองใช้ ศิษย์น้อง ให้อภัยข้าด้วย อภัยให้ข้าด้วย” หรงซู่หัวเราะแหะๆ แล้วตบไหล่ของต้วนเฉินเซวียน
“หนวกหู” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาเย็นเฉียบแล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “หรงซู่เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”
“ดูแล้วไม่ได้เป็นอะไร” หรงซู่ยิ้มแล้วหมุนตัวกลับลงไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม “ไร้สาระ ถ้าไม่มีข้า เจ้าคิดว่าจะมีนางในตอนนี้หรือไม่?”
“แล้วอย่างไร? เจ้ายอมให้ข้ารู้เรื่องนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าลงพยายามที่จะไม่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกไป
ชีวิตมนุษย์ดั่งความฝัน แม้ว่าจะถือว่าเสียเวลาที่นี่ แต่ก็ผ่านไปเพียงแค่สองสามชั่วยามเท่านั้น ทว่าในความฝันเขากลับได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งทั้งชีวิต คนที่มีชีวิตพัวพันกับเขาอยู่ตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง!
ต้วนเฉินเซวียนได้เห็นการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างตัวเขากับซูเหลียนอวิ้น ได้เห็นการสารภาพรักครั้งแรกของซูเหลียนอวิ้นและตัวเขาได้ปฏิเสธนางไปอย่างไรและยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่เขาทำให้ซูเหลียนอวิ้นต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลราวกับความฝันแสนเนิ่นนานแต่ให้ความรู้สึกถึงความจริงอย่างมาก
“ข้าจะมีจุดประสงค์อะไรได้” รอยยิ้มของหรงซู่อันตรธานหายไปแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเรื่องราวระหว่างพวกเจ้าสองคน ส่วนข้าก็มีหน้าที่เป็นคนกลางเท่านั้น
“เจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ด้วยเหตุนี้ต่อมาเจ้าจึงร้องขอผลลัพธ์นี้ ดังนั้นตอนนี้…ทั้งหมดก็อยู่ที่เจ้าแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไร หรือจะบอกว่าเจ้าเสียดายเสียแล้ว?”
“ข้าไม่เคยเสียดายมาก่อน” ต้วนเฉินเซวียนเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ความทระนงตัวเหนือผู้อื่นของเขาได้กลับมาอยู่ในสายตาของเขาตามปกติแล้ว “เมื่อชาติที่แล้ว ข้าทำให้นางรักข้าได้ เช่นนั้นชาตินี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน และแม้ว่าชาตินี้จะมีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ กวนใจ แต่ข้าเชื่อว่านั่นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ชีวิตของนางเป็นของข้าได้เพียงผู้เดียว”
“ชีวิต ข้าเป็นคนให้ ตายก็ต้องตายด้วยกัน”
“ฮ่าๆๆๆ” หรงซู่โยนกระดูกที่ตัวเองกินหมดแล้วทิ้งไปแล้วเช็ดมือแล้วเอ่ยว่า “ดี แต่ศิษย์น้องต้องจำเอาไว้ โอกาสมิอาจปล่อยผ่าน เพราะหากเสียไปแล้วมิอาจหวนคืน เรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าเคยทำในอดีตถือเป็นการท้าทายโชคชะตา มิใช่ว่าทุกครั้งจะโชคดีแบบนั้นอีก”
“ข้ารู้” ต้วนเฉินเซวียนยืนขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้าไปก่อนแล้ว”
“ไม่ส่งนะ”
หลังจากที่ต้วนเฉินเซวียนออกจากที่พักของหรงซู่มาแล้ว เขาก็มิได้ใช้วิชาตัวเบาแต่อย่างใด นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเดินกลับทีละก้าวๆ เช่นนี้ ทั้งยังเป็นการก้าวเดินที่เชื่องช้า
ตัวเขาสงบลงบ้างหรือไม่? ต้วนเฉินเซวียนส่ายหัวให้กับตัวเอง มือของเขาตอนนี้เริ่มมีอาการสั่นเทา
“ซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเสียงอ่อย “ที่แท้แล้วข้าติดหนี้เจ้าไว้มากมายนัก”
ในความฝัน สภาพตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตาย ภาพนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างชัดเจน
เลือดออกจากทั้งเจ็ดทวารบนใบหน้า ทั่วร่างของนางเจ็บปวดแต่กลับหันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้น ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวดที่สุดที่เขาเคยเห็นบนโลกใบนี้ ความเจ็บปวดเช่นนั้น แม้ว่าตอนนี้จะคิดย้อนกลับไปก็สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากชีวิตต่อไป
ด้านหน้า มีกำแพงขวางทางของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาจึงพบว่าตนเดินมาถึงประตูด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ตอนนี้ในใจของต้วนเฉินเซวียนรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรเข้าไปด้านในหรือไม่…เนื่องจากตอนนี้เขาอยากจะพูดประโยคประโยคหนึ่งกับซูเหลียนอวิ้น บอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอร้องให้นาง…ช่วย….
แต่คำพูดเช่นนี้เมื่อต้วนเฉินเซวียนพิจารณาแล้วกลับรู้สึกว่าน่าขายหน้ายิ่ง ทั้งยังแปลกประหลาดอีกด้วย อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นกลัวเขาขนาดนั้น รวมทั้งสายตาเย็นชาของนาง ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาถอยหลังกลับไปอยู่ที่เดิม
เขายอมให้นางด่าเขา ต่อยเขาหรือทำร้ายเขาได้อย่างเต็มที่ แต่ได้โปรดอย่า…เย็นชาและหวาดกลัวเขาเช่นนี้
คำพูดสุดท้ายของหรงซู่เมื่อชาติก่อน เขาคิดว่าเขาสามารถเข้าใจได้ และเมื่อมาถึงชาตินี้ เขาจำต้องจ่ายค่าชดเชยบ้างแล้ว
เนื่องจากสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นต้องสูญเสียไปทั้งหมดเมื่อเกิดใหม่มาในชาตินี้ นอกจากจะเป็นชีวิตของเขา แต่ยังเป็นความรักที่ซูเหลียนอวิ้นมีต่อเขาด้วย เมื่อสองอย่างนี้รวมกันบวกกับการกระทำของเขาในชาตินี้ ตัวเขาก็ต้องลิ้มรสชาติความเจ็บปวดที่ซูเหลียนอวิ้นเคยลิ้มรสเมื่อชาติที่แล้วและโทษทัณฑ์ต่างๆ เช่นกัน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นถือว่ายังไม่ได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ เพราะเขายังไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดและทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะได้รับ ดังนั้นหากเขายังคงไม่ลงมือทำอะไร ผลที่จะเกิดขึ้นกับซูเหลียนอวิ้นในตอนสุดท้าย นางอาจจะแตกสลายไปเพราะจิตวิญญานของนางพร่าเลือนและไม่แข็งแกร่ง
ความเจ็บปวดหรือความเหนื่อยล้า ต้วนเฉินเซวียนไม่เคยหวาดหวั่น แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้คือความรักที่ซูเหลียนอวิ้นมีต่อเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเงื่อนไขของการกลับมาเกิดใหม่ยังคงอยู่ตรงนั้น เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นปัญหาจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมมากนัก อย่างน้อยๆ เรื่องราวอื่นๆ ยังพอหาทางแก้ไขได้ แต่สิ่งนี้…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร
ณ สวนสาลี่
คืนนี้ซูเหลียนอวิ้นนอนไม่กลับ เนื่องจากไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าตัวเองวิตกกังวลอย่างยิ่ง นางจึงนอนไม่หลับ อีกอย่างพอนางล้มตัวลงนอนบนเตียงกลับอยากลุกขึ้นมานั่งแล้วก็เดินวนไปวนมา
ความรู้สึกลึกๆ ของนางที่บอกว่าคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น!
ทว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้? เพราะพิธีปักปิ่นสิ้นสุดไปแล้ว และช่วงนี้ก็มิได้มีงานเลี้ยงอะไรเหล่านี้อีกแล้ว ดังนั้นความวิตกกังวลของนางในตอนนี้เกิดจากอะไรกัน? ถึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจและข้องใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังเดินวนไปวนมาจนเบื่อแทบแย่อยู่นั้น เปลวเทียนของนางพลันสั่นไหว นางจึงหยิบกระบี่ที่วางไว้ข้างตัวนางขึ้นมาแล้วระแวดระวังรอบด้าน
หรือว่าคืนนี้จะมีขโมย? ใจกล้ามากทีเดียว จะขโมยของกลับมาขโมยที่จวนแม่ทัพ ห้าวหาญยิ่งนัก
“ซูเหลียนอวิ้น”
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังถือโอกาสจะหมุนตัวกลับไปในขณะที่คนด้านหลังไม่ได้ทันระวังตัว แล้วใช้กระบี่แทงสักทีนั้น แต่เมื่อนางได้ยินเสียงนี้ร่างทั้งรางของนางพลันสะท้าน
“ต้วน ต้วน ต้วนเฉินเซวียน?” ซูเหลียนอวิ้นถอยกรูดไปด้านหลังจนกระทั่งหลังของนางประชิดกำแพงและไม่สามารถถอยหลังไปได้อีกแล้วถึงจะเอ่ยว่า “ดึกดื่นป่านนี้ ท่านเข้ามาในห้องข้าด้วยเหตุใด!”
คงมิได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องราวในวันนั้นอยู่นะ? แต่นางก็ขอโทษไปแล้วนี่?! หรือว่าคำพูดที่พูดไปไม่มีประโยชน์? เพราะยังไม่ได้ลงไม้ลงมือกับนาง?