ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 124 นอนกลางวัน
“มีก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยสายตาสงบนิ่ง “หากคุณชายไม่มีเรื่องอื่นที่จะต้องพูดแล้ว ข้าก็หวังว่าคุณชายคงจะกลับไปได้แล้ว” หากมีคนเข้ามาพบว่านางซ่อนคนเอาไว้ในห้องกลางดึกเช่นนี้ แถมคนผู้นั้นยังเป็นผู้ชายอีกด้วยล่ะก็…ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ไม่ยากเลย!
“ข้า…”
“หรือว่าคุณชายยังมีเรื่องอื่นใดอีก?”
“ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “หากยังมีธุระจะพูดต่อ ก็รีบพูดมาเถิด” ต้วนเฉินเซวียนกลายเป็นคนอืดอาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? อ้ำๆ อึ้งๆ กระอึกกระอักอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยพึมพำคำๆ นี้ออกมา
เมื่อก่อนไม่ว่าเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น เพราะเขาจะพูดอะไรล้วนไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่มีธุระแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยสี่คำนี้ออกมาได้
ต้มกระต่ายต้องใช้น้ำอุ่น รีบร้อนไปจะเสียรูปการณ์
ถึงอย่างไรตอนนี้กระต่ายก็ยืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว คงจะหนีไปไหนไม่พ้นกระมัง เขาต้องอดทนไว้ก่อนถึงจะสำเร็จ เพราะหากน้ำอุ่นเกิดร้อนเกินไปเพียงชั่วขณะเจ้ากระต่ายก็จะถูกลวกตาย เช่นนั้นจะยิ่งวุ่นวายไปใหญ่!
นี่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าในสายตาของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ ตัวเขาเป็นเช่นไร ทว่าทุกอย่างต้องมีความเชื่อ ชีวิตนี้ยังมีเวลาอีกยาวนาน เวลาที่ทั้งสองยังเหลืออยู่สามารถค่อยๆ ทำความเข้าใจกันอย่างไม่ต้องรีบร้อนและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วส่งสายตาไปที่ประตู กิริยานี้เพียงไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นว่าเชิญออกไปเดี๋ยวนี้
“เอาไว้คราวหน้าข้าจะมาหาเจ้าใหม่” ก่อนที่ต้วนเฉินเซวียนจะออกไปก็ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านี้แล้วมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างหมดหนทาง
มาหาใหม่?!
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปดันกำแพงเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้เพื่อให้ตัวเองยืนได้อย่างมั่นคงขึ้น นางไปทำให้คุณชายผู้นี้ไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…เมื่อชาติก่อนนางทุ่มเทแรงกายแรงใจตั้งมากมาย แต่ต้วนเฉินเซวียนกลับไม่เคยสนใจนางสักนิด
พอมาถึงชาตินี้ นางพยายามที่จะหลบเขาให้ห่างอย่างน้อยสักแปดจั้ง ผลสุดท้ายกลับไปยั่วยุให้เขาเข้ามาหานางเสียเอง?
โธ่เอ๊ย ชะตาที่ชีวิตอันแปรปรวนและเส้นทางชีวิตที่ขมขื่นของนาง!
……
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หลังจากที่หลีมู่เห็นม่านที่เตียงเริ่มไหวและเห็นเงาคนขยับ นางก็รีบลุกยืนขึ้นแล้วเปิดม่านออกพร้อมขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมเอ่ยตอบว่า “ขอน้ำให้ข้าสักแก้วเถิด” จิตใจของนางอิดโรย ร่างกายของนางเหนื่อยล้า นี่คือสภาพของนางในตอนนี้
“คุณหนู มาดื่มน้ำเจ้าค่ะ” หลีมู่ดึงหมอนที่อยู่ด้านข้างออกมาแล้วเอารองไว้ด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง “คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เริ่มหิวแล้วใช่หรือไม่? คุณหนูคงไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าไหร่แล้วกระมัง! ตอนนี้ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้วนะเจ้าคะ! คุณหนูหลับไปนานทีเดียว…” หลีมู่แอบบ่นในใจ เพราะเมื่อคืนก็ฝันร้ายหมดสภาพ แถมวันนี้ยังนอนตื่นสายถึงตอนนี้อีก!
เวลาตื่นและเวลาพักผ่อนของคุณหนู…แปรปรวนเป็อย่างยิ่ง!
“เช่นนั้นก็ตั้งสำรับเถิด ข้าเริ่มหิวแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นอ่านสายตาของหลีมู่ออก แต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง! ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ในตอนนี้นางขอพักเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
อันที่จริงนางตื่นขึ้นมาแต่เช้าแล้ว แต่พอนางลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นภาพที่ต้วนเฉินเซวียนยืนอยู่ที่ห้องของนางเมื่อคืนนี้พร้อมพูดขอโทษขอโพยนาง!
น่าสยดสยองอย่างยิ่ง! ทั้งยังทำให้นางคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัวอย่างหยุดไม่ได้ การกระทำของต้วนเฉินเซวียนเมื่อวานนี้ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่!
ดังนั้นทุกครั้งที่นางตื่นขึ้นแล้วพลิกตัวต่ออีกสักสองสามครั้ง จากนั้นจึงบังคบตัวเองให้นอนต่ออีกสักพัก เพราะซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางจำเป็นต้องหลีกหนีโลกแห่งความจริงเสียแล้ว! ความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดวุ่นวายและทำให้นางคิดไม่ออกหาเหตุผลไม่ได้! แต่ในฝันกลับมีเหตุผลกว่า
เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงไปนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารแล้วทานอาหารอย่างอ้อยอิ่ง และในตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากชมว่าวันนี้ข้าวต้มที่พ่อครัวทำรสชาติไม่เลวอยู่นั้น ก็มีเสียงหายใจหอบและเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนดังขึ้นมาขัดจังหวะนางตอนนั้นพอดี
“คุณหนูใหญ่!” เสียงของชายรับใช้ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ซูเหลียนอวิ้นวางชามและตะเกียบในมือลง สายตาของนางปรากฏแววสงสัยแล้วทำท่าบอกให้หลีมู่ออกไปสืบดู เวลาเช่นนี้แล้วคงจะมีเรื่องอะไรสำคัญมารายงานนางกระมัง? มิเช่นนั้นเหตุใดจะต้องรีบวิ่งหอบมาหานางเช่นนี้ ทำอย่างกับเป็นวิญญาณที่รีบวิ่งมาเข้าท้องนางเพื่อจะได้เกิดใหม่อย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้นรึ?” หลีมู่ผลักประตูเปิดออกอย่างช้าๆ และยังคงยืนอยู่บนระเบียงทางเดินพลางกวาดตามองไปที่ชายรับใช้ที่หมอบอยู่ด้านล่างด้วยท่าทีของหญิงรับใช้ข้างกาย ตอนนี้ท่าทางของนางแสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มที่!
“ท่านพี่หลีมู่” ชายรับใช้คนนั้นก้มตัวลงต่ำยิ่งขึ้น “พี่หลีมู่ขอรับ ด้านนอกมีคนมากลุ่มหนึ่งพวกเขาบอกว่ามีของจะมอบให้คุณหนูของเรา แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” หลีมู่รู้สึกได้ว่าคำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของชายรับใช้คนนี้มีความสำคัญกว่าจึงรีบเอ่ยเร่งขึ้น “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด เจ้ากล้าทำธุระของคุณหนูล่าช้ารึ?”
“แต่…” สีหน้าของชายรับใช้ผู้นั้นลำบากใจ “แต่ของที่พวกนั้นมันเยอะเกินไปแถมยังเป็นของล้ำค่าอีกต่างหาก!” เช่นนี้แล้วเขาจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร! เพราะหากเป็นผู้ที่คิดอยากจะติดสินบนขึ้นมาจะทำอย่างไร? นายท่านของเขาก็ยากจะติดต่อได้แถมยังไม่รู้จะติดต่ออย่างไร ดังนั้นจึงต้องหันมาพึ่งคุณหนูแทน
มิเช่นนั้นจะมีผู้เอ่ยหรือว่า คนที่จะเป็นขุนนางใหญ่ได้ต้องครุ่นคิดให้รอบคอบ! ชายรับใช้แอบคิดในใจ น่าเสียดายที่ความคิดนั้นไม่ได้ใช้อย่างถูกที่
เมื่อหลีมู่ได้รับสายตาพิลึกพิลั่นสื่อถึงความนัยบางอย่างจากชายรับใช้ผู้นั้น ตอนนั้นนางจึงเข้าใจถึงความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ หว่างคิ้วของนางจึงขมวดแน่นขึ้นอย่างเคร่งขรึมแล้วเอ่ยว่า “แล้วฮูหยินล่ะ? เหตุใดเจ้าไม่ไปแจ้งแก่ฮูหยินก่อน?”
วันนี้ฮูหยินไปหอผิ่นหวา ถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”
“เช่นนั้นฮูหยินใหญ่ล่ะ?”
“ฮูหยินใหญ่…ตอนนี้กำลังนอนกลางวันอยู่ ดังนั้น…ข้าน้อยไม่กล้ารบกวน” เนื่องจากคนทั้งจวนแม่ทัพต่างรู้ดีว่า สำหรับฮูหยินใหญ่ของพวกเขาแล้ว การนอนกลางวันถือเป็นเรื่องสำคัญมากขนาดไหน!
ครั้งหนึ่งซูปั๋วชวนกลับมาถึงที่จวนแล้วอยากจะแวะไปดูหวังฉือหวนก่อนสักหน่อย สุดท้ายกลับโชคไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนั้นหวังฉือหวนเพิ่งจะล้มตัวลงเตรียมตัวจะนอน แต่สุดท้ายกลับโดนการเข้ามาในเรือนอย่างกะทันหันของเขาทำเอานางตกใจตื่น
ตอนนั้นหวังฉือหวนตื่นขึ้นมาทันที จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วฟาดไปที่ซูปั๋วชวนทันที! แถมยังเป็นการฟาดไปด่าไปอีกด้วย ฟาดไปปากก็ด่าไปจนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายก็เริ่มร้องไห้ออกมา
และเอ่ยว่าตัวเองอายุเยอะเพียงนี้แล้ว แค่อยากจะนอนกลางวันเท่านั้นทำไมถึงยากเย็นเพียงนี้?
เดิมทีซูปั๋วชวนมาเยี่ยมด้วยอยากจะกตัญญูต่อท่านแม่ สุดท้ายพอโดนทำร้ายเช่นนี้ก็ไร้อารมณ์
ตังแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จวนแม่ทัพก็มีกฏที่ไม่ใช่กฏขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นก็คือเวลาที่ฮูหยินใหญ่นอนกลางวันต่อให้มีมีดตกลงมาจากฟากฟ้าก็ห้ามปลุกนางอย่างเด็ดขาด! เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทนรับต่อแรงอันหนักหน่วงของหวังฉือหวนได้…แถมยังต้องเผชิญกับการคำสาบแช่งและการร้องไห้อย่างหายนะเช่นนั้นอีก!
ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ในห้องก็พอได้ยินคร่าวๆ บ้างแล้ว ในใจของนางเริ่มมีแผนการแล้ว เพราะดูท่าแล้ว จากสถานการณ์ตอนนี้มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไปรับมือกับสถานการณ์นี้ได้