ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 128 รอยเลือด
“อืม…ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ อย่างนั้นนางไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ได้…
เพราะตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนดูแล้ว…น่าสงสารทีเดียว? ทำให้นางมิอาจทำใจแข็งเอ่ยปากขึ้นมาอีกรอบได้…
อีกอย่างสีหน้าท่าทางน่าสงสารขนาดนี้ ดูเหมือนว่าตัวนางเป็นคนร้ายกาจยากที่จะอภัยให้ได้เป็นอย่างยิ่ง! แต่มิใช่สักหน่อย! เห็นชัดๆ ว่าเขาบุกรุกเข้ามาในห้องของนางยามวิกาล คนผิดควรจะเป็นเขามากกว่า? นางจะรู้สึกผิดทำไมกัน?
ดังนั้นคนทั้งสองจึงเงียบงันไปพักใหญ่ สุดท้ายต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ดูท่าเจ้าจะชอบกระบี่เล่มนี้?”
“พอได้…” ซูเหลียนอวิ้นตอบไม่ชัดเจนนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงไม่อยากให้ต้วนเฉินเซวียนเข้าใจในตัวนางมากเกินไปนัก
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” รอยยิ้มของต้วนเฉินเซวียนกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เอ๊ะ?”
“เอ่อ กระบี่เล่มนี้ ข้าเป็นคนมอบให้เจ้าเอง”
“อะไรนะ?!” ซูเหลียนอวิ้นสะดุ้งโหยง ต้วนเฉินเซวียนเป็นผู้มอบกระบี่เล่มนี้?! หากรู้แต่แรกว่าเขาเป็นคนมอบให้ นางคงเขวี้ยงกระบี่เล่มนี้ทิ้งไปให้ไกลๆ นางสักสิบจั้งแล้วจะไม่แตะต้องมันอีกแล้วกระมัง? พอถึงตอนนี้ ความรู้สึกของนางได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว…หากนางต้องคืนมันกลับไป…นางคงตัดใจไม่ได้!
“เห็นไหมเล่า” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยช้าๆ “เจ้ารับของไปแล้วหนึ่งชิ้นก็ถือว่ารับ รับสิบชิ้นก็ถือว่ารับเหมือนกัน จะอย่างไรก็ถือว่ารับเหมือนกัน ดังนั้นเจ้ารับมากน้อยเพียงใดก็เหมือนกันมิใช่หรือ?”
ต้วนเฉินเซวียนไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยปากก็เปิดหน้าต่างออกไปด้วยตัวเองแล้วก็พยายามกระโดดออกไปด้วยท่าทางที่สง่างามอย่างที่สุด
“อ้อ” เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร? กระบี่เล่มนี้ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้วก็แล้วกัน ส่วนของอย่างอื่นน่ะหรือ? นางมิต้องการ!
เพราะเอาของเขามากินปากเราก็จะหวาน รับของเขามาใช้เราก็จะเกรงใจเขา ในเมื่อตัวนางรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะชดใช้คืนให้เขาได้ทั้งหมด เช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการไม่รับมันเลยจะดีที่สุด
“ท่านพูดจบแล้วหรือยัง? หากท่านพูดจบแล้วก็เชิญคุณชายต้วนกลับไปได้แล้ว”
“อืม พรุ่งนี้ข้าจะนำของมามอบให้เจ้า และข้าจะมามอบด้วยตัวเองด้วย” ต้วนเฉินเซวียนเมินเฉยต่อสายตาไล่แขกของของซูเหลียนอวิ้น เขาพยายามคิดว่านางเขินอายก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเขาก็จะมอบให้นางอยู่ดี!
การจะจีบหญิงผู้หนึ่งให้ติด หน้าต้องหนาหน่อยกระมัง? แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยก็ตาม
ผู้หญิงนางหนึ่งอย่างซูเหลียนอวิ้นสามารถแยกแยะของนอกกายกับจิตใจได้ เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง…ถึงอย่างไรของพวกนั้นเอาวางพักไว้ก่อนก็ดีแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้น สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นก็ทนไม่ไหวอีก นางยืนนิ่งแล้วดึงกระบี่ออกมา แต่ในขณะที่นางชักกระบี่ออกมาก็มีแรงแห่งความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงออกมาพร้อมกันด้วย
ต้วนเฉินเซวียนมิได้ระวังตัวเอาไว้ก่อน เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ฉับพลันทันด่วนเช่นนี้ก็รับมือไม่ทัน แม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบแต่สุดท้ายก็โดนพลังของกระบี่ฟันเข้าให้ที่หัวไหล่อยู่ดี
ตอนนั้นเอง บริเวณหัวไหล่ของเขาก็ปรากฏรอยสีแดงขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่งก็เกิดเสียง ‘แครก’ ดังขึ้น ตู้หนังสือที่อยู่ห่างจากด้านหลังของต้วนเฉินเซวียนไปไม่ไกลก็แยกออกจากกันเป็นสองท่อน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพลังของกระบี่เมื่อครู่นี้มีแววอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง
“ท่าน…” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมืออกไปหวังจะพยุงต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ แต่พอคิดดูอีกทีก็ตัดสินใจเก็บมือของตัวเองเอาไว้
นางได้สาบานไปแล้วว่าชาตินี้ชีวิตนี้พวกเขาทั้งสองคนจะไม่มีทางข้องเกี่ยวกันอีก ดังนั้นตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บ…ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง!
“ท่านรีบกลับไปรักษาแผลเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็ง เพราะอีกประเดี๋ยวหากเลือดหยดลงพื้นคนที่ต้องคอยตามเช็ดก็ต้องเป็นนางอยู่ดี!
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอ้าปากขึ้นจะพูด แต่แม้เพียงเขาจะขยับแค่ริมฝีปาก แต่กลับส่งผลให้เขาเจ็บปวดไปถึงหัวไหล่ ขยับเพียงเล็กน้อยแต่รู้สึกเจ็บอย่างสาหัส
“ข้าไปก่อน” เขาไม่ต้องการเสียหน้าต่อหน้าซูเหลียนอวิ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพยายามฝืนตัวเองไม่ให้มีอาการขมวดคิ้ว ต้วนเฉินเซวียนพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบเช่นเดิม “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ามิต้องกังวล”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
ผู้ใดกังวลกันเล่า! การจะคิดเองเออเองแต่ก็ต้องมีข้อจำกัดถูกหรือไม่? มิได้แทงทีเดียวปลิดชีวิตเสียหน่อย! ปากซีดเสียขนาดนั้น พวกกเราอย่ามัวแต่มารักษาหน้ากันหน่อยเลย รีบกลับไปรักษาแผลไม่ดีกว่าหรือ! แน่นอนว่าอย่าลืมรักษาสมองให้หายด้วย!
…ช่างปะไร ถึงอย่างไรคนที่เจ็บก็ไม่ใช่นาง ดังนั้นหากต้วนเฉินเซวียนจะยังคงวางท่าอยู่ก็ปล่อยให้วางท่าไป ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็มิได้คลั่งไคล้อะไรแล้ว เขาอยากทำเช่นไรก็ปล่อยเขาไป
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลงแล้ววางปลอกกระบี่ไว้บนโต๊ะด้านข้าง โดยที่ทั้งสองมือยังคงถือกระบี่เล่มนั้นเอาไว้แล้วเหม่อลอย
จังหวะเมื่อครู่นี้เป็นความบังเอิญจริงๆ หรือ? ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ แต่หากเป็นเรื่องบังเอิญ…มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่? เมื่อครู่นี้นางสังเกตอย่างละเอียดแล้ว หากต้วนเฉินเซวียนไม่เบี่ยงตัวหลบ แรงของกระบี่คงจะตัดคอของต้วนเฉินเซวียนเป็นแน่!
ซูเหลียนอวิ้นจึงมองไปที่ตัวอักษรจิ้งหว่านแล้วคิดถึงเรื่องราวที่นางกับหรงซู่ได้คุยกันในวันนั้น
หรือว่า…กระบี่เล่มนี้ต้องการช่วยนางออกแรง? หรือไม่ก็อยากจะช่วยนางล้างแค้น? เพราะว่า…อืม…หรือว่าต้วนเฉินเซวียนเป็นผู้ชายที่ชอบปั่นหัวสตรีเล่น?
“เฮ้อ…”เมื่อจ้องมองอยู่สักพัก ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกว่านางไม่พบอะไรผิดปกติเลย!
อีกอย่างนางลองแกว่งกระบี่ดูอีกรอบหนึ่งแล้ว รวมทั้งนำมันยัดกลับเข้าปลอกแล้วดึงออกมาใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังคง…ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิด? กล่าวได้ว่าไม่แตกต่างจากกระบี่ธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
ช่างเถิดช่างเถิด นอนก่อนดีกว่า ซูเหลียนอวิ้นบ่นในใจ เพราะกลางดึกเช่นนี้ แม้ว่านางจะมีแสงเทียนเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายแล้วกลางคืนก็ยังเป็นตอนกลางคืน หากนางห่างจากแสงเทียนออกมาไกลหน่อยก็ตกอยู่ในความมืดมิด!
อีกอย่างเรื่องราวลึกลับเช่นนี้…รอให้เช้าก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลังดีหว่า ยามวิกาลมิควรหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวแบบนี้!
ซูเหลียนอวิ้นยืนขึ้นและกำลังจะเก็บกระบี่เข้าฝักอีกครั้ง
แต่ว่าในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นถือดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยเหตุนี้มือซ้ายของนางจึงรองคมกระบี่เอาไว้ ดังนั้นเมื่อนางดึงกระบี่ด้วยมือขวา มือซ้ายของนางจึงถูกกระบี่กรีดเป็นแผล
“โอ๊ย!” ซูเหลียนอวิ้นร้องอย่างโหยหวนขึ้นมา และปล่อยกระบี่ลงจากมือทั้งสองข้าง เพราะเมื่อครู่นี้นางน่าจะโดนบาดเป็นแผลลึกทีเดียว? และตอนนี้เลือดก็ออกมาแล้วด้วย!
แม้ว่ากระบี่จะร่วงสู่พื้น แต่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงไม่สามารถอาลัยอาวรณ์มันได้อีก เพราะบาดแผลบนมือนางเป็นเรื่องสำคัญกว่า!
ยาที่นำมาจากท่านอาจารย์ในตอนนั้นน่าจะยังมีอยู่กระมัง? ตอนนี้ถึงเวลาต้องนำออกมาใช้แล้ว!
เมื่อซูเหลียนอวิ้นทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงก้มหน้าลงมองกระบี่ที่นอนอยู่บนพื้น
กระบี่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ทว่าบนกระบี่เล่มนั้น รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนของซูเหลียนอวิ้นที่อยู่บนกระบี่ไม่รู้ว่าเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อใด