ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 129 ฟันขา
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นจ้องมองกระบี่ที่นอนอยู่บนพื้น นางมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกี้นางคงมิได้มองผิดไปกระมัง? รอยเลือดที่ฝ่ามือของนางตอนนั้นก็น่าจะไหลออกมาเพราะกระบี่เล่มนี้?
เหตุใดตอนนี้กลับ…
ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจและกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจยอมแพ้ เก็บมันขึ้นมาเหมือนเดิมดีแล้ว ถึงอย่างไร…ท่านอาจารย์ก็เคยบอกแล้วว่ากระบี่เล่มนี้ไม่มีทางทำร้ายนาง? อีกอย่างตามที่นางเคยอ่านนิยายและตำนานหลายๆ เรื่องก็เคยบอกเอาไว้ว่าอาวุธที่มีพลังและจิตวิญญาณอยู่เช่นนี้ จำเป็นต้องได้ลิ้มรสเลือดก่อนถึงจะจดจำเจ้าของได้!
ในตอนนี้เมื่อนางหลั่งเลือดแล้วก็เท่ากับว่านางเป็นเจ้าของมันแล้ว!
“กระบี่เอ๋ยกระบี่” ซูเหลียนอวิ้นพยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองทุกวิถีทาง พร้อมทั้งเก็บกระบี่เข้าปลอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดกับกระบี่ขึ้นอีกว่า “องค์หญิงจิ้งหว่านตายไปแล้ว! ดังนั้นมิว่าเจ้าจะอยากแก้แค้นเพียงใดหรือว่าอยากจะทำอะไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าของของเจ้าคือข้าแล้ว! ข้ากับองค์หญิงจิ้งหว่านนั้นไม่เหมือนกัน ข้ามิได้มีความทะเยอทะยานมากขนาดนั้น! ดังนั้นดีที่สุดคือเจ้าควรภักดีกับข้าเข้าใจหรือไม่? “
ดังนั้นอย่าคิดว่าเจ้าถูกตีขึ้นมาอย่างดีแถมยังกระบี่ชั้นยอดแล้วจะทำอะไรก็ได้ หากนางใช้แล้วรู้สึกว่าไม่คล่องมือ กระบี่อย่างเจ้าคงต้องถูกอันเชิญไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ! หรือไม่ก็คืนให้ต้วนเฉินเซวียนซะ! นางจะไม่เสียดายอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรกระบี่ก็เป็นแค่กระบี่เท่านั้น มิใช่คน
ด้วยเหตุนี้ต่อให้ซูเหลียนอวิ้นบ่นพึมพำกับกระบี่เล่มนี้นานเพียงใด สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเพียงปฏิกิริยาเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของมันเท่านั้น
“ช่างเถิด! ถือเสียว่านี่เป็นความผิดแรกของเจ้า วันนี้จึงขอไม่ตำหนิเจ้าแล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นเริ่มเสียงแหบแห้ง นางจึงหันตัวกลับไปรินชาให้ตัวเองจอกหนึ่ง เมื่อคลายจากกระหายแล้ว นางจึงนำกระบี่เก็บเอาไว้ในลังอีกใบหนึ่งในห้อง
“คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน รอให้ข้าอารมณ์ดีก่อนแล้วค่อยเอาเจ้าออกมา”
เนื่องจากนางรู้สึกถึงพลังมารของกระบี่เล่มนี้ ดังนั้นตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงมิกล้าวางมันไว้ข้างกายอย่างเด็ดขาด แถมยังอยู่ใกล้ๆ นางตอนนอนขนาดนั้น กลางดึกเกิดมันคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะทำอย่างไร?
อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นกำลังสงสัยว่า ฝันร้ายของนางในวันนั้น แปดส่วนจะต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างแน่นอน! ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้ค่อยว่ากันที่หลัง
ซู่ ซู่ เสียงฝนตกกระทบหน้าต่างดังอย่างยิ่ง
ซูเหลียนอวิ้นมองฝนตกห่าใหญ่ที่คล้ายกับมีคนเทน้ำลงมาจากฟากฟ้า ตอนนี้นางกลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด
ต้วนเฉินเซวียนมิได้บอกว่าจะมาจวนตระกูลซูอีกวันนี้หรือ? ฝนตกแรงเช่นนี้ นางจะคอยดู หากวันนี้เขาไม่มา ฮ่าๆ …ซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้ม
ช่างเถิด ถึงอย่างไรหากวันนี้เขากล้ามาอีก นางจะรอเขา! จะได้ตัดขาเขาเข้าให้อีกข้าง!
แม้ว่าจะยังเช้าตรู่แต่ซูเหลียนอวิ้นก็ถือร่มออกไป นางอาจต้องเสี่ยงกับการโดนฝนสาดจนเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำแต่อย่างไรก็ต้องไปขอร้องให้ซูมั่วเยี่ยช่วยให้ได้
นางจะไปขอร้องซูมั่วเยี่ยหาองครักษ์มาให้นางมากกว่านี้หน่อย เหตุผลก็คือช่วงนี้นางรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองวุ่นวายเพราะความกลัว! อีกอย่างเรือนของนางเนื้อที่ไม่น้อยเลยแต่คนกลับน้อยนัก!
ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกว่า ตอนกลางคืนไม่มีผู้ใดคอยคุ้มกัน นางรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นทุกข์!
สำหรับคำร้องขอของซูเหลียนอวิ้นนั้น แต่ไหนแต่ไรมาซูมั่วเยี่ยก็มิเคยขัด ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเพียงครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตบโต๊ะฉาดแล้วตัดสินใจส่งตัวองครักษ์ให้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่มอีกห้าคน
ห้าคน อาจจะฟังดูน้อย ทว่าองครักษ์ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กไม่ให้กลัวตายเช่นนี้ อีกทั้งบางคนยังมีหน่วยก้านเหมาะสมน่าปั้นตั้งแต่เด็ก เพราะถึงแม้ว่าจะเจอตัวแล้วการเลี้ยงดูแบบต้องเอาตัวให้รอดก็ยากที่จะบอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ด้วยเหตุนี้คนหนึ่งคนมีองครักษ์แบบนี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเลือกออกมาสักคนหนึ่งก็คงสามารถต่อกรกับศัตรูได้เป็นร้อยแล้ว แต่นี่มีถึงห้า? ซูเหลียนอวิ้นแสดงออกอย่าชัดเจนว่านางพึงพอใจเป็นอย่างมาก! ดังนั้นตอนนี้นางกำลังตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ ต้วนเฉินเซวียนจะมาก็รีบมาเถิด
เพราะก็คงจะดีเหมือนกันที่นางจะได้ลองทดสอบว่าพละกำลังขององครักษ์ทั้งห้านี้เป็นอย่างไรบ้าง มิเช่นนั้นนางคงเพียงได้ยินแต่คนอื่นพูด แต่สุดท้ายแล้วคงมิได้เห็นพลังนั้นกับตาของตัวเอง
“มานี่เถิด” ซูเหลียนอวิ้นยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างเกียจคร้าน “แม้ว่าท่านพี่จะยกพวกเจ้าให้ข้าแล้ว แต่ข้ากลับยังมิเคยเห็นตัวเป็นๆ ของพวกเจ้าเลยกระมัง? ออกมาเถิด ข้าจะได้คุ้นเคยกับพวกเจ้าหน่อย”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ เพียงชั่วครู่ เงาของคนทั้งห้าก็กระโดดลงมายืนเป็นแถวตรงบนพื้นในห้องของซูเหลียนอวิ้นอย่างเงียบเชียบ
อืม…ซูเหลียนอวิ้นมองการเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียวของคนทั้งห้าคนนี้ แถมยังแต่งตัวได้อย่างเรียบร้อยได้ในเวลาเพียงชั่นครู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว ภายในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนเกิดขึ้น
มิน่าเล่าตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมาที่นี่ นางถึงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย! เพราะตอนนี้คนทั้งห้าคนนี้ได้เข้ามาอยู่ในห้องของนางแล้ว แต่นางกลับไมรู้ตัวเลยสักนิด!
เพราะประโยคเมื่อครู่นี้ของนางฟังดูแล้วค่อนข้างผ่อนคลายไม่จริงจัง นางเพียงพูดไปส่งๆ เท่านั้นเพื่อลองพิสูจน์ดูว่าองครักษ์จะเป็นอย่างที่เขาว่ากันในตำนานมากน้อยแค่ไหน…
“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมลำคอพยายามที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะอย่างไรนางผู้ที่เป็นเจ้านายก็ไม่ควรทำตัวน่าขายหน้าให้พวกเขาเห็นตั้งแต่วันแรกใช่หรือไม่?
พวกเจ้ามีนามว่าอะไรกันบ้าง?”
คนทั้งห้าต่างสบตากันไปมา สุดท้ายชายคนที่ดูสงบนิ่งที่สุดคนนั้นก็เอ่ยตอบขึ้นว่า “ตอบคุณหนู คุณชายใหญ่เคยตั้งชื่อให้พวกบ่าวแต่ละคนไว้แล้ว แต่หากคุณหนูไม่ชอบ ขอได้โปรดตั้งชื่อให้พวกเราใหม่ขอรับ”
เอ่อ ไม่ต้องหรอก” นางเพียงเอ่ยถามเล่นๆ เท่านั้นเอง อีกอย่างเรื่องการตั้งชื่อนั้น หากว่ากันตามความจริงแล้ว นางไม่ค่อยถนัดด้านนี้เท่าใดนัก!
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็บอกชื่อของพวกเจ้าแต่ละคนมาก็แล้วกัน”
“ขอรับ” คนทั้งห้าเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“บ่าวมีนามว่าอั้นอิ่ง”
“บ่าวมีนามว่าหนานอี้”
“บ่าวมีนามว่าหยาเอ่อร์”
“บ่าวมีนามว่าอวี่ซาง”
“บ่าวมีนามว่าผูหลิว”
“คารวะคุณหนูใหญ่!” หลังจากที่คนทั้งห้ารายงานเสร็จก็คุกเข่าลงบนพื้น
“เอาล่ะๆๆ ลุกขึ้นเถิด” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีก นางเพียงรีบลุกขึ้นมานั่งหลังตรงก็เท่านั้น
เพราะหากนั่งตัวตรงจะทำให้ระยะห่างใกล้มากขึ้น ถึงจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นหน่อย คนตั้งห้าคนลำพังแค่นางจำชื่อให้ได้ยังต้องใช้เวลาสักพักเลย!
องครักษ์ทั้งห้าคนนี้ เป็นชายสามคน เป็นหญิงสองคน แม้ว่าซูมั่วเยี่ยจะวางแผนว่าจะจัดองครักษ์หญิงให้ซูเหลียนอวิ้นทั้งหมด เพราะบางเวลาใช้งานองครักษ์หญิงจะสะดวกกับนางมากกว่า แต่ก็จนปัญญาเพราะองครักษ์หญิงค่อนข้างหาได้ยาก อย่างไรสตรีก็ต้องมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าบุรุษอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงหาองครักษ์หญิงสองคนมาแก้ขัดเป็นการชั่วคราวไปก่อน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ในความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นนั้น จะหญิงหรือชายก็ไม่ต่างกัน! หากเป็นหญิงก็สะดวกกว่า หากเป็นชายก็ใช้ได้! เพราะเวลาที่องครักษ์ชายต้องต่อสู้พละกำลังก็คงจะแรงกว่าอยู่ดีกระมัง? และที่นางต้องการองครักษ์ในตอนนี้ก็เป็นเพราะว่าต้องการให้พวกเขามาสั่งสอนคนสักหน่อย!
ทว่าหากได้สตรีคงดีกว่า! เพราะตอนกลางคืนสามารถนอนเป็นเพื่อนนางได้ ดีอย่างยิ่ง!