ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 130 องครักษ์
“เช่นนั้นพวกเจ้าแต่ละคนชำนาญในด้านใดกันบ้าง?” หากรู้ว่าพวกเขาชำนาญในด้านใดกันบ้าง นางจะได้มอบหมายให้พวกเขาแต่ละคนได้อย่างถูกต้อง
“บ่าวชำนาญด้านการลอบฆ่าขอรับ” ในบรรดาห้าคนนี้ผู้ที่มีรูปร่างสูงที่สุดเอ่ยปากขึ้นก่อน “วิชาตัวเบาของบ่าวก็ถือว่าดีที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด”
“อ้อๆ ดี” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วจ้องมองไปที่คนผู้นี้คราหนึ่ง นางจำได้ว่าคนนี้มีชื่อว่า…อั้นอิ่ง? ก็ดีถือว่าเหมาะสมกับชื่อของเขามาก ลอบฆ่า อั้นอิ่ง (เงาสังหาร) อืม ท่านพี่ตั้งชื่อได้เหมาะสมอย่างยิ่ง!
“ข้าน้อยนามว่าหนานอี้ ความสามารถในด้านสะกดรอยของข้าน้อยถือว่าไม่เลวเลย” เขาพูดพร้อมเกาศีรษะ สายตาของเขามีความขวยเขินแฝงอยู่ เขาเป็นผู้ที่มีผิวขาวสะอาด ราวกับบัณฑิตที่รักความสะอาดผู้หนึ่ง แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาเป็นถึงองครักษ์ผู้หนึ่ง?
เมื่อซูเหลียนอวิ้นฟังจนจบ ก็พยักหน้าอย่างสง่างามเพื่อส่งสัญญานให้อีกคนหนึ่งพูดต่อ
“บ่าวมีนามว่าหยาเอ่อร์ หากเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว…ต้องขออภัยคุณหนูด้วย นอกจากความสามารถในการเป็นองคลักษณ์ของบ่าวแล้ว…บ่าวก็ไม่มีความสามารถโดดเด่นในด้านใดอีก มีเพียงอย่างเดียวที่พอจะยกขึ้นมาคุยได้บ้างก็คือ…ฝีมือทำอาหารของบ่าวนั้นไม่เลว?”
น้ำเสียงของสาวน้อยผู้นี้ไพเราะ เมื่อเทียบกับสองคนก่อน คนแรกพูดจาเย็นชาไร้อารมณ์ อีกคนหนึ่งพูดตะกุกตะกักไร้ความั่นใจ ส่วนคนนี้ดูท่าแล้วคงทำให้คนโปรดปราณได้มากกว่า แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดเด่น แต่ความสามารถในการทำให้ผู้อื่นถูกชะตาได้เช่นนี้กลับโดดเด่นมาก
“เช่นนั้นต่อไปงานเข้าครัวขอยกให้เจ้าแล้วกัน!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าส่งสัญญาณให้นาง “ข้ากลัวว่าจะมีคนใส่พิษไว้ในอาหารของข้า” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาโดยที่ไม่มีอาการหน้าแดงหรือใจสั่น
วางยาพิษ? ผู้ใดจะมีความแค้นฝังลึกในใจถึงขนาดยอมเสี่ยงขนาดเข้ามาในจวนตระกูลซูเพื่อวางยานางตาย?
ข้อที่หนึ่ง ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่มีอำนาจใดๆ ข้อที่สอง นางไม่ได้มีสมบัติร่ำรวย แม้ว่านางจะมีรูปโฉมที่งดงาม? แต่หากจะวางยานางก็คงไม่คุ้มค่ากระมัง…
แต่เพราะเหตุใดนางถึงยืนกรานที่จะให้หย่าเอ๋อร์ประจำอยู่ที่ห้องครัวน่ะหรือ? เหตุผลที่แท้จริงก็คือ อาหารจากห้องครัวใหญ่ที่นางได้กินทุกวันเป็นประจำเหล่านั้น นางกินเสียจนเริ่มเบื่อแล้ว แม้ว่ารสชาติจะอร่อยมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียนางก็กินมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว หากรวมระยะเวลาทั้งสองขาติเข้าด้วยกัน
อีกอย่างที่ตั้งของห้องครัวใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากเรือนของนางค่อนข้างมาก ทุกครั้งที่นางหิวมากๆ ต่อให้หลีมู่รีบร้อนวิ่งไปวิ่งมามากเพียงใด พอรอจนถึงตอนที่หลีมู่กลับมาตอนนั้นนางก็เริ่มโมโหหิวเสียแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ดียิ่ง หลีมู่ทำอาหารไม่เป็น เนี่ยนเอ๋อร์ก็ทำไม่เป็น ส่วนนางก็ยิ่งขี้เกียจทำเข้าไปใหญ่ ตอนนนี้จะมีคนมารับผิดชอบดูแลห้องครัวให้นางแล้ว! ดังนั้นสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว ความสามารถของหยาเอ่อร์ถือว่ามีประโยชน์มากกว่าของอั้นอิ่งและหนานอี้ด้วยซ้ำ!
เนื่องจากตัวนางนั้น ข้อที่หนึ่งเลยคือไม่มีคดีอะไรที่นางต้องส่งคนไปสะกดรอยตาม ข้อที่สองคือไม่มีตระกูลใดที่นางคิดแค้นดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องส่งคนไปลอบสังหาร ดังนั้นการได้กินอาหารอย่างสบายใจถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับนางที่สุด!
“เจ้าค่ะ บ่าวต้องไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอน!” หยาเอ่อร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านางกระหยิ่มยิ้มย่องและภูมิใจที่นางเพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้เพียงชั่วครู่เดียวแต่กลับได้รับความไว้วางใจจากซูเหลียนอวิ้นให้ทำงานด้านนี้
อีกสี่คนที่เหลือเมื่อเห็นหยาเอ่อร์มีปฏิกิริยาเช่นนี้ต่างก้ผินหน้ามามองนาง แต่เนื่องจากงานการเป็นองครักษ์นี้ ผู้ที่มีบุคลิกร่าเริงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นแม้ว่าอีกสี่คนจะหันมามอง ทว่าสีหน้ากลับไม่อาการใดๆ ปรากฏ ทำให้ยากที่จะคาดเดาได้ว่าความคิดของพวกเขาเป็นอย่างไร
“บ่าวชำนาญด้านยาพิษ” ประโยคห้วนๆ ประโยคหนึ่งดังขึ้น
ซูเหลียนอวิ้นยังคงครุ่นคิดอย่างเบิกบานใจอยู่ว่าต่อไปไมว่านางจะสั่งอะไรก็จะได้กินแถมยังไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยนั้น เสียงไร้อารมณ์และดูเหมือนไม่พอใจนางก็ดังแทรกขึ้นมาเขาหูของนางอย่างกะทันหัน
“อ้อ อย่างนี้หรือ” สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเรียบเฉยทั้งยังเย็นชากว่าคนผู้นั้น “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ? ข้าลืมเสียแล้ว?”
คนผู้นั้นไม่คิดว่าจะมีประโยคครึ่งหลังตามขึ้นมา ดังนั้นสีหน้าเย็นชาจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาจึงสูดหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “บ่าวชื่อว่าอวี่ซาง!” เสียงนั้นฟังดูแล้วคล้ายกัดฟันพูดออกมา!
“เอาล่ะ ข้าจำได้แล้ว อวี่ซางใช่หรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย “เจ้าเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ดูหน่วยก้านบึกบึนของเจ้าแล้ว งานนั้นคงเหมาะสมกับเจ้ามากทีเดียว”
“ต่อไปเจ้าก็ไปทำงานแทนหลานเย่ว์ก็แล้วกัน ภายในเรือนนี้มอบให้เจ้ารับผิดชอบ!” ไม่ชอบนางหรือ? อืม ต่อให้ไม่มีเจ้าสักคน นางก็ยังมีอีกสี่คน!
หากไม่ช่วย นางก็ยังมีท่านพี่! ถึงอย่างไรก็แอบเอาเรื่องไปฟ้องอะไรพวกนี้? ซูเหลียนอวิ้นไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย!
อวี่ซางมองไปที่สีหน้ายากจะอ่านเข้าใจได้ของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงรู้สึกว่ามีบาอย่างถูกปิดบังเอาไว้ จึงถามโพล่งออกไปว่า “เช่นนั้นข้าขอถามคุณหนูใหญ่ ก่อนหน้านี้รุ่นพี่หลานเย่ว์ทำงานอะไรมาก่อนที่นี่?”
ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว รุ่นพี่? ได้เลย ทำเสียงฟึดฟัดกับนาง แถมยังมีท่าทีเช่นนี้กับหลานเย่ว์?
“หากเจ้าอยากรู้ เจ้าไปถามเขาเองก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างทำไมข้าต้องจำได้ด้วยว่าวันหนึ่งๆ คนของข้าทำงานอะไรบ้าง?”
อวี่ซางยังคงข้องใจและอยากจะเอ่ยถามต่อ ทว่าคนที่อยู่ด้านข้างเขากับดึงมือของเขาเอาไว้ได้ทันแล้วเขย่าสองสามทีเพื่อที่จะสื่อความหมายให้เขารู้ว่าควรหยุดได้แล้ว
ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของคนทั้งสองคนนี้แต่กลับมิได้เอ่ยว่าอะไร ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้คงไม่เลว?
“บ่าวมีนามว่าผูหลิว บ่าวค่อนข้างชำนาญในด้านการรักษาและความรู้เรื่องยา หากคุณหนูต้องการความช่วยเหลือในด้านนี้ บ่าวจะต้องแสดงฝีมืออย่างสุดกำลัง”
ซูเหลียนอวิ้นวางมือลงบนโต๊ะน้ำชาแล้วยกมือขึ้นมาเท้าคางพลางมองดรุณีน้อยนั่งคุกเข่าบนพื้นให้นางและกำลังแนะนำตัวอยู่อตอนนี้ แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วอายุจะดูไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ดูแล้วเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก…เอาล่ะอย่างน้อยๆ ก็มีท่าทีแน่วแน่ก็แล้วกัน
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นยืนขึ้นพลางชี้นิ้วเอ่ยว่า “หยาเอ่อร์กับผูหลิว พวกเจ้าสองคนกลับไปปรึกษากันดูว่าใครจะนอนกับหลีมู่ ใครจะนอนกับเนี่ยนเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ทั้งสองห้องนี้ก็ไม่เคยมีผู้ใดอาศัย ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนจึงต่างนอนห้องใครห้องมัน แต่ในเมื่อมีพวกเจ้าทั้งสองคนมาเพิ่ม พวกนางก็คงจะไม่ว่าอะไร ทั้งยังจะยินดีต้อนรับพวกเจ้าทั้งสองด้วยซ้ำ” เพราะแม้ว่าการนอนเพียงผู้เดียวในห้องอันกว้างใหญ่จะสะดวกสบายก็จริง แต่ก็ต้องรู้สึกเคว้งคว้างอยู่บ้าง แม้ว่าพวกนางสองคนจะไม่เคยบ่นอะไรแต่ซูเหลียนอวิ้นก็สังเกตเห็น
“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือสามคน…ที่เรือนของข้ายังมีห้องว่างเหลืออยู่ พวกเจ้ากลับไปเก็บกวาดกันเองเถิด บางทีก่อนที่จะไปเก็บกวาดอาจจะไปหาหลานเย่ว์ก่อนเพื่อให้เขาพาพวกเจ้าไปจัดห้อง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มาอยู่ที่นี่พักหนึ่ง คงจะมีอะไรแนะนำพวกเจ้าได้บ้าง”
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเจ้าไปได้แล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกพวกเจ้ามาเอง” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือเป็นสัญญานบอกพวกเขาถอยออกไป
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” คนทั้งห้าต่างตอบรับ จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกับตอนที่เข้ามา พวกเขาเข้ามาอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นตอนออกไปก็ไร้ร่องรอยเช่นกันโดยหายไปทันทีต่อหน้าต่อตาซูเหลียนอวิ้น