ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 135 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (1)
“อาซู่!”
“จวิ้นจู่ ฝันร้ายอีกแล้วหรือเพคะ?”
เมื่อลืมตาขึ้น หนานกงมู่เสวี่ยจึงมองไปรอบด้าน เกิดอะไรขึ้นฝันอีกแล้วหรือ…
“เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังสาวรับใช้ที่มีสีหน้าร้อนใจแล้วส่ายหน้า “ไปเถิด ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก”
“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากอีกแล้วถอยออกจากห้องไป
หนานกงมู่เสวี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงอีกสักพัก แต่หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นจึงดึงลิ้นชักอันเล็กที่อยู่ด้านล่างสุดออกมา เมื่อเปิดออกสิ่งที่อยู่ด้านในคือปิ่นปักผมรูปเกล็ดหิมะอันเล็กๆ อันหนึ่ง
ทว่าปิ่นอันนั้นได้หักไปแล้ว เครื่องประดับรูปเกล็ดหิมะได้หลุดออกจากตัวด้ามปิ่นเรียบร้อยแล้ว…
หนานกงมู่เสวี่ยจ้องมองปิ่นปักผมที่หักอยู่ในกล่องใบนั้นอย่างเย็นชา สักพักหนึ่ง นางก็แค่นหัวเราะออกมา แม้ว่าจะเป็นการหัวเราะทว่าในแววตาของนางคล้ายมีน้ำตาเอ่อล้น
……
“ท่านอาเสวี่ยเอ๋อร์น่ารักยิ่ง น่าเสียดายที่ลูกของข้าเป็นเด็กชายตัวน้อย เฮ้อ!” อันผิงอ๋องหรือหนานกงชั่วถอนหายใจอย่างรุนแรง แล้วมองไปยังหนานกงมู่เสวี่ยตัวน้อยนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นหอมฉุยแล้วไม่ยอมวางมือ “หากเสวี่ยเอ๋อร์เป็นลูกของข้าคงดี ข้าจะได้กอดนางทุกวัน” และไม่ต้องคอยเทียวมาที่นี่ทุกวันเพื่อกอดนาง
“ให้มันน้อยๆ หน่อย” เหิงชินอ๋องหรือหนานกงเยี่ยนเหล่มองผู้ที่เอ่ยขึ้น แล้วค้อมตัวเพื่อเอาลูกสาวของตนคืนมา “อยากได้ลูกสาวหรือ? เจ้าก็ไปทำเอาเองสิ! มาแย่งลูกสาวข้าทุกวัน ไม่รู้จักอาย!”
หนานกงมู่เสวี่ยหัวเราะและตบมือน้อยๆ ของตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังได้ดูเรื่องราวน่าสนุกเรื่องหนึ่ง แต่ในตอนที่เหิงชินอ๋องอุ้มนางออกไปจากอกของอันผิงอ๋องแล้ว ใบหน้าของนางก็ไร้รอยยิ้มแล้วเบะปากร้องไห้ออกมา
“กอด กอด!” มือของหนานกงมู่เสวี่ยยื่นออกไปหาอันผิงอ๋อง สายตาของนางเต็มไปด้วยความออดวอน “จะกอด!”
“ได้ๆๆ มากอด กอดนะ” ตอนนั้นเองใบหน้าของอันผิงอ๋องก็ปรากฏรอยยิ้ม ดูท่าแล้วการมาปรากฏตัวที่นี่ทุกวันนั้นได้ผล! เพราะเด็กน้อยมู่เสวี่ยเรียกหาให้เขามากอดเสียแล้ว!
เหิงชินอ๋องรู้สึกอย่างกับตัวเองโดนตบหน้า เพราะมันน่าขายหน้ามาก! จึงอดไม่ได้ที่จะหมุนตัวของหนานกงมู่เสวี่ยมาที่ตัวเองอย่างโมโหแล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “เสวี่ยเอ๋อร์! ข้าต่างหากที่เป็นพ่อของเจ้า! มองมาที่ข้าตรงนี้ คนอื่นล้วนเป็นพวกต้มตุ๋น! อย่าโดนหลอกสิ!” ข้าต่างหากที่เป็นพ่อของเจ้า คนอื่นล้วนอยากได้ลูกสาวของข้าทั้งนั้น!
น่าเสียดายที่หนานกงมู่เสวี่ยมีอายุเพียงแค่สามขวบจึงมิสามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในคำพูดนั้นได้ เพราะเด็กส่วนมากล้วนดูเพียงหน้าตาเท่านั้น อันผิงอ๋องเป็นผู้ที่มีหน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล โดยเฉพาะเวลาที่หนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้วยแววตาของเขายิ่งอ่อนโยนมากขึ้นไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเหิงชินอ๋องตอนนี้ที่ทั้งโมโหทั้งหน้าตาโหดเ**้ยม ต่อให้ไม่ใช่เด็กก็คงจะชอบอันผิงอ๋องมากกว่าอยู่ดี
“ไม่!” หนานกงมู่เสวี่ยส่ายหน้าแล้วพยายามดิ้นซ้ายทีขวาทีเพื่อให้หลุดจากอกของเหิงชินอ๋องให้ได้
“ท่านพ่อ! ท่านอยู่ที่นี่จริงด้วย…”
ในขณะที่หนานกงมู่เสวี่ยกำลังหมุนตัวหนีซ้ายขวาเตรียมจะร้องโวยวายให้คอแตกอยู่นั้น การปรากฏตัวของหนานกงซู่ทำเอานางต้องหยุดความคิดนี้ไปชั่วคราว
“กอดๆ!” หนานกงมู่เสวี่ยพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงเพื่อให้ระยะห่างระหว่างตนกับหนานกงซู่ยิ่งใกล้กันมากขึ้น “กอดๆ !”
หนานกงซู่ที่มีอายุได้เพียงสี่ขวบเมื่อต้องเผชิญกับคำร้องขอที่กะทันหันเช่นนี้ก็ทำเอาเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เขาจึงหันไปมองอันผิงอ๋องกับเหิงชินอ๋องด้วยความตระหนก เพราะว่า…บิดาของเขาชอบเด็กหญิงหน้ากลมคนนี้ยิ่งนัก หากเขาเอานางมาอุ้มเลย ตอนกลับไปถึงจวนแล้ว บิดาของเขาจะหึงเขาแล้วจัดการเขาสักทีสองทีหรือไม่?
หากดูจากนิสัยปกติของบิดาตนเองแล้ว นั่นมีความเป็นไปได้สูงมาก! อีกอย่างเหิงชินอ๋อง…ช่างเถิด เขาจะไม่หันไปมองแล้วเพราะรู้สึกเหมือนว่าเขาอยากจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น
“โธ่ ท่านอา!” อันผิงอ๋องอาศัยโอกาสที่เขาไม่ทันได้เตรียมตัวแย่งหนานกงมู่เสวี่ยออกมาจากอกของเหิงชินอ๋อง จากนั้นจึงย่อตัวลงแล้วเอาหนานกงมู่เสวี่ยยัดเข้าไปในอกของลูกชายเขา “เร็วเข้า เอาเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปเล่นเร็ว! ไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว!”
ลูกชายของตนไม่เลวทีเดียว! ใช้ได้ หากมีการพัฒนาที่ดีเช่นนี้ ภายภาคหน้าคงจะมีโอกาสมั่นหมายมู่เสวี่ยให้มาเป็นสะใภ้ก็เป็นได้? หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าตัวเขาก็จะมีลูกสาวเสียที แถมลูกสาวของเขายังเป็นมู่เสวี่ยอีกต่างหาก! แค่จินตนาการก็สมบูรณ์แบบขนาดไหนแล้ว!
“ฮ่าๆ” หนานกงมู่เสวี่ยที่อยู่ในอกของหนานกงซู่เงยหน้าขึ้น ในปากของนางคล้ายมีของบางอย่างส่องประกายระยิบระยับ ของสิ่งนั้นก็คือน้ำลาย…ทั้งยังดูเหมือนว่าจะกระเด็นออกมาใส่เสื้อผ้าของหนานกงซู่แล้วเสียด้วย
หนานกงซู่มองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่เอวของเขาไม่ยอมปล่อยมือ เขาขมวดคิ้ว น่าขยะแขยงนัก…น้ำลายเปื้อนเสื้อผ้าของเขาหมดแล้ว!
“พี่ชาย เล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย!” หนานกงที่มีอายุสามขวบชี้นิ้วแล้วยิ้มหน้าระรื่นไปที่หนานกงซู่ เป็นเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คืออันผิงอ๋องแบบย่อขนาด! อีกอย่างเนื่องจากโดนย่อขนาดแล้ว ความสูงจึงไม่แตกต่างจากนางมากเท่าไหร่นัก! ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสนิทสนมไม่น้อยทีเดียว
“ข้ามิใช่…” หนานกงซู่เอ่ยปากปฏิเสธอย่างอ่อนแรง “ข้ามิใช่พี่ชายของเจ้า…” แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่หนานกงซู่ก็เข้าใจดี
สาวน้อยที่อยู่ในอกของเขาตอนนี้ แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าเขา แต่ตามลำดับญาติแล้ว…นอกจากนางจะไม่ได้เป็นน้องสาวของเขาแล้ว แต่เขายังต้องเรียกนางว่าน้าด้วยซ้ำ!
หนานกงซู่รังเกียจจนหรี่ตามอง จะให้เรียกเด็กหญิงตัวน้อยน้ำลายยืดนี่ว่าน้ารึ? น่าขายหน้ายิ่งนัก!
“ปัดโธ่ เจ้าจะสนทำไมว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะเรียกเจ้าว่าอะไร” เมื่ออันผิงอ๋องเห็นบุตรชายของตัวเองทำท่าทึ่มทื่อเช่นนี้ก็ทนไม่ได้ จึงตบเขาเข้าให้ป้าบหนึ่งแถมยังตบเข้าไปที่ศีรษะอีกต่างหาก!
“เสวี่ยเอ๋อร์ยังเด็ก! นางยอมให้เจ้าเรียกว่าอย่างไรก็ให้เรียกอย่างนั้น! นางเรียกเจ้าว่าพี่ชายก็ดีกับเจ้าเท่าไหร่แล้ว! เจ้าจะมาถือสาเรื่องแบบนี้ทำไมกัน” เด็กหน้าเหม็น มีสาวเป็นฝ่ายอยากใกล้ชิดเจ้าก่อน เจ้าจะกล้าไม่มีปฏิกิริยาใดตอบรับเลยหรือ? วันข้างหน้ามิกลัวขอนางทำภรรยามิได้รึ?!
“อ่อ” หนานกงซู่เอามือลูบบริเวณที่โดนพ่อของเขาตบ “เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
ไปเร็วๆ เข้า!” หากยังไม่ไปอีก พวกเจ้าก็คงจะไปไม่ได้แล้วล่ะ น้องชายมองอย่างกับกินเลือดกินเนื้อเช่นนี้แล้ว!
“หนานกงซู่! เจ้าเอามา…” เหิงชินอ๋องกระทืบเท้าอย่างร้อนรน เหตุใดเวลาเพียงชั่วขณะเดียวลูกสาวของเขากลับถูกแย่งตัวไปแล้ว? อีกอย่างคนผู้นี้ดูแล้วน่าโมโหและน่ารำคาญตากว่าหนานกงชั่วเสียอีก!
ได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ ! เหิงชินอ๋องแอบก่นด่าในใจ หน้าตาเหมือนกันนั้นช่วยไม่ได้ แต่พฤติกรรมชอบยั่วยุอารมณ์นั้นเหมือนกันไม่มีผิด
“ท่านอา!” อันผิงอ๋องเอาตัวขวางทางของเหิงชินอ๋องเอาไว้ “เด็กๆ ด้วยกันทั้งนั้นจะเป็นไรไปให้พวกเขาไปเล่นด้วยกันเถิด อีกอย่างที่เรือนของเจ้าก็ไม่มีผู้ใดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยกระมัง? อย่างนั้นแล้วปกติเสวี่ยเอ๋อร์คงเบื่อและน่าสงสารมาก! โชคดีที่ซู่เอ๋อร์ของข้ามาเล่นเป็นเพื่อน น้องชายก็อย่าทำให้วุ่นวายเลย!” ลูกพ่อสู้ๆ พ่อของเจ้าช่วยเฝ้าคนที่พยายามก่อเรื่องวุ่นวายเอาไว้แล้ว! จากนี้เจ้าจงจำไว้ว่าเจ้าจะต้องรีบเอาเสวี่ยเอ๋อร์มาอยู่กับพวกเราให้ได้!
ผ่านพ้นเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ มากมาย เวลาหนึ่งปีก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หนานกงซู่โตขึ้นค่อนข้างมาก หนานกงมู่เสวี่ยเองก็มิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่ทำน้ำลายไหลหกเลอะเสื้อผ้าคนก่อนอีกแล้ว
“เสี่ยวมู่เสวี่ย” แม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว หนานกงซู่ก็ยังคงไม่ชอบและเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าน้าไม่ได้ แต่หากให้เรียกนางว่าน้องสาวเขาก็รู้สึกว่าข้ามหัวและเป็นการไม่เคารพนาง ดังนั้นในทุกๆ ครั้งที่เจอหน้ากันมักจะเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าเสี่ยวมู่เสวี่ย
หนานกงซู่ผลักประตูเข้าไปในห้องของหนานกงมู่เสวี่ยเช่นเดิม แต่เมื่อเห็นนางกำลังก้มหน้าสำรวจอะไรบางอย่างอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหน้าเข้าไปดู
“เจ้ากำลังอ่านคัมภีร์หมากล้อมอยู่หรือ?” น้ำเสียงของหนานกงซู่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตอนนี้หนานกงมู่เสวี่ยมีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น เด็กอายุเพียงสี่ขวบ…เป็นช่วงวัยที่จะสนใจเรื่องราวเช่นนี้รึ?
“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่ามันสนุกมาก” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้ามองหรงซู่แล้วยิ้มออกมาให้เห็นฟันขาวจั๊วะแล้วชี้ไปยังกระดานหมากรุกบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “อาซู่ ไม่รู้สึกว่ามันน่าสนใจบ้างหรือ?” ไม่ดำก็ขาว มีเหตุมีผลแบ่งแยกชัดเจน จะไม่น่าสนใจได้อย่างไร?
“เอ่อ เจ้าชอบก็ดีแล้ว” หนานกงซู่หยักไหล่ เพราะศาสตร์ที่เกี่ยวกับหมากล้อมนี้ เขาไม่ค่อยมีความสนใจมากนัก ก็แค่สิ่งของที่ใช้เล่นเป็นงานอดิเรกชนิดหนึ่งเท่านั้น เล่นเป็นนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว แต่พอเห็นหนานกงมู่เสวี่ยมีความสนใจเช่นนี้…
“หมากเกมนี้ยากมากเลยหรือ?” หนานกงซู่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยถาม “ให้ข้าดูด้วยได้หรือไม่”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำ
“ยากมาก…” สุดท้ายหนานกงมู่เสวี่ยจึงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วแล้วถอนใจ “ต่อให้พวกเรารวมหัวกันสองคนก็คิดไม่ออก” ฟังออกได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่าน้ำเสียงของนางท้อแท้ขนาดไหน
หนานกงซู่หัวเราะ “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ตอนนี้คิดไม่ออกก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนี้จะคิดไม่ออกตลอดไปเสียหน่อย รอข้าประเดี๋ยวเถอะ ข้าจะแก้หมากกระดานนี้ให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
หนานกงมู่เสวี่ยไม่เข้าใจจึงถามว่า “ทำอย่างไร?” เนื่องจากหนานกงซู่ไม่ค่อยมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก การสะสมคัมภีร์หมากล้อมไว้นั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่กระมัง?
“เพราะว่าอีกไม่นานข้าจะเชิญคนผู้หนึ่งที่มีความสามารถมากมากเป็นอาจารย์ของข้าแล้ว!” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ปลายหางตาของหนานกงซู่ก็ยกสูงขึ้นความปลื้มปิติที่เอ่อล้นออกมา
“พ่อข้าบอกไว้แล้วว่า คนผู้นั้นตอบรับที่จะมาเป็นอาจารย์ของข้าแล้ว! ว่ากันว่าคนผู้นั้นเป็นปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ปกติแล้วจะไม่รับผู้ใดเป็นศิษย์! อีกอย่างข้าอยากจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขามาก? แค่คิดก็ตื้นตันแล้ว!” เพราะในใจของเด็กผู้ชายทุกคนจะต้องมีความคิดอยากจะละทิ้งความวุ่นวายทางโลกแล้วท่องไปในยุทธภพตั้งแต่ยังเด็กอยู่แล้ว
ดั้งนั้นเมื่อรู้ว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นตบปากรับคำยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์แล้ว หนานกงซู่ดีใจจนไม่รู้ว่าจะดีใจอย่างไร! หนานกงซู่รู้วึกว่าเขาดีใจมากกว่าความรู้สึกตอนที่เขาได้รับคันธนูในวันเกิดเขาเสียอีก
ความรู้สึกดีๆ เช่นนี้แน่นอนว่าต้องแบ่งปัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมวันนี้เขาถึงมาหาหนานกงมู่เสวี่ย ข่าวดีเช่นนี้เขาย่อมต้องมาบอกกล่าวด้วยตัวเองอยู่แล้ว
หนานกงมู่เสวี่ยวางหมากล้อมในมือลง เม้มปากไม่ยอมพูดอะไร
หนานกงซู่เข้าใจว่านางโกรธ เพราะนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอ่ยวาจาเอาวแล้วว่าครั้งนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียว หนานกงซู่จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “มู่เสวี่ยตัวน้อย เจ้าไม่ดีใจหรือ?”
หนานกงมู่เสวี่ยยังคงไม่พูดจาอะไร ได้แต่เพียงจ้องไปที่หนานกงซู่เงียบๆ
ว่ากันตามจริงแล้ว สิ่งที่หนานกงซู่กลัวที่สุดไม่ใช่การที่พ่อของเขายกไม้ขึ้นเตรียมจะเฆี่ยนเขา แต่เขากลับกลัวหนานกงมู่เสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแล้วจ้องมาทางเขาแต่เพียงอย่างเดียวมากกว่า อย่างเช่นตอนนี้…เป็นช่วงจังหวะที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี!
หากไม่พูดอะไรเลยดูเหมือนจะไม่ถูกนัก แต่หากพูดออกมาแล้วพูดผิด…จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่!
“อย่างนั้นท่านจะยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่ หนานกงมู่เสวี่ยจึงก้มหน้าจับตัวหมากไว้ในมือแล้วเอ่ยถามอย่างสงบ
“อืม…เรื่องนี้” สุดท้ายเมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยยอมพูดกับเขาเสียที เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเป็นอย่างมาก จึงแหงนหน้ามองฟ้าแล้วเอ่ยปากถามพลางครุ่นคิดว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน เพราะเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นกระมัง แต่ข้าคาดว่าคงจะไม่อยู่? เพราะว่ากันว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นค่อนข้างเก็บตัว…
เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงของหนานกงซู่ก็ลดระดับลงอย่างไม่มีเหตุผล แต่เมื่อเห็นหนานกงมู่เสวี่ยยังคงจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา คำที่เตรียมจะพูดก็มิอาจเก็บเอาไว้ได้อีกจึงเอ่ยต่อออกมาว่า “น่าจะ…พาข้าไปด้วย…ใครจะรู้เล่า อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่!”
“เฮอะ!” หนานกงมู่เสวี่ยโยนหมากในมือทิ้งแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้พร้อมกอดอก “อ้อ อย่างนี้เองหรือ”
“ข้ารับรองหากข้ามีเวลา ข้าจะต้องแอบมาเยี่ยมเจ้าอย่างแน่นอน!” เมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มมีท่าทีโกรธขึ้นแล้วจริงๆ ในตอนนั้นจึงรีบร้อนกระโดดลงมาแล้วเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง…คงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากเจ้าอยากจะมาเล่นกับข้า เจ้าก็เป็นฝ่ายมาหาข้าได้ ไม่เห็นมีอะไรยากเลย”
ในใจของหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มเกิดความลังเล เท้าของนางเริ่มขยับเขยื้อน แต่ร่างกายของนางกลับไม่อาจฝืนทนอีกต่อไปจึงหันหลังใส่หนานกงซู่แล้วไม่หันหน้ากลับมาอีก!
หนานกงซู่ย่อมจับสังเกตปฏิกิริยานี้ได้ ทันใดนั้นเองเขาจึงยิ้มจนตาแทบปิด “วางใจเถิดเสี่ยวมู่เสวี่ย! ข้าเองก็มิได้ออกไปเล่นไร้สาระที่ไหน รอให้ข้ากลับมาก่อน ข้าจะต้องเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งไม่มีสอง!”
“อย่างนั้นท่านก็มิต้องกลับมาอีก!” หนานกงมู่เสวี่ยเบะปาก “ยอดฝีมือ…คงจะอีกนานกว่าท่านจะทำได้!”
“อย่างนั้นก็ยังมิต้องเป็นยอดฝีมือ เป็นแค่…เรียนให้พอได้นิดหน่อย ข้าจะต้องกลับมาสอนเจ้าแน่ ดีหรือไม่?”
“ดี!” หนานกงมู่เสวี่ยเริ่มยิ้ม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่อนข้างพอใจกับคำตอบนี้ “ท่านพูดแล้ว คำไหนต้องเป็นคำนั้น”
“คำไหนคำนั้น!”
“จวิ้นจู่! คุณชาย!” ที่ด้านนอกห้องมีเด็กรับใช้ถือโคมไฟมาอย่างรีบร้อน “คุณชายน้อย นายท่านของพวกเราใกล้จะกลับมาแล้ว! ท่านก็ควรกลับแล้วเช่นกัน!” มิฉะนั้นแล้วอีกประเดี๋ยวคงถูกไล่ออกมา แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนกันไม่ได้
เนื่องจากว่าไม่ว่าเหิงชินอ๋องจะมองหนานกงซู่อย่างไรก็ไม่ถูกชะตา เห็นชัดๆ ว่าเป็นขโมยแอบมาลักลูกสาวเขาไป! เขาย่อมไม่ต้อนรับอย่างแน่นอน ไม่จับโยนทิ้งออกไปทันทีก็ถือว่าดีมากแล้ว!
เมื่อหนานกงซู่ได้ยินเช่นนั้นกลับมิได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่กลับเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดว่า เหิงชินอ๋องในครั้งนี้…คงจะอารีอารอบมากขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย? เพราะหากเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าไม่ถึงตอนบ่าย เขาก็คงจะถูกไล่ออกมาแล้ว! เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในจวนแห่งนี้ก็มิอาจปิดบังเหิงชินอ๋องได้
แถมวันนี้ยังคงปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ถึงตอนนี้? เกรงว่า…อืม หากรู้ว่าเขากำลังจะไปแล้ว หากจะไปแล้ว หากจะมาอีกก็คงไม่มีโอกาส ดังนั้นจึงทำให้เขายังอยู่ที่นี่นานเช่นนี้!
“คุณชายน้อน ไปเถิด!” เด็กรับใช้อดที่จะเอ่ยปากเร่งไม่ได้ “ตอนนี้เวลาไม่น้อยแล้ว! นะขอรับ! ใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว! หากท่านไม่ไป อีกครู่หนึ่งอาหารเย็นของอวิ้นจู่ก็คงจะเริ่มตั้งสำหรับแล้ว! อีกประเดี๋ยวท่านก็ต้องหาข้ออ้างอยู่ต่อแน่…อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้พวกเราจะไม่รู้
“ก็ได้” หนานกงซู่ดึงเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเสียดาย “เสี่ยวมู่เสวี่ย ข้าขอตัวก่อน วันหน้าค่อยมาหาใหม่!”