ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 145 งานโคมไฟ
เอ่อ…นางคิดมากเกินไปจริงๆ …
ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาอีกครั้งแล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง ก็ใช่ ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนเปรียบดั่งน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ ต้วนเฉินเซวียนโดนทำร้ายหรือ? หนานกงเช่อคงตื่นเต้นจนแทบจะต้องจุดปะทัดฉลองเลยทีเดียว!
ความเสียใจหรือความเป็นห่วงน่ะรึ? คงจะไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แน่…
“ฮ่าๆๆๆๆ …” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเกร็งๆ “ก็ดี ก็ดี”
“เจ้าจะเกรงใจข้าทำไมกัน” หนานกงเช่อยื่นมือออกมาตบเบาๆ ที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างสบายอารมณ์ “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าลงมือได้ดี วางใจเถิด คราวหน้าหากมีโอกาสเช่นนี้อีก จำไว้ว่าอย่าลืมเรียกข้าด้วยก็แล้วกัน”
ในตอนนี้หนานกงเช่อคิดว่าซูเหลียนอวิ้นกลายเป็นคนของตัวเองไปเสียแล้ว เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเกาอู่เตี๋ย ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้พูดเปิดโปงเขา แน่นอนว่าสาเหตุที่สำคัญคือ นางทำร้ายต้วนเฉินเซวียน
มิถูก ควรจะพูดว่า ทำร้ายต้วนเฉินเซวียนบาดเจ็บ
ทำร้ายจนบาดเจ็บ? เมื่อก่อนหนานกงเช่อไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากคุณสมบัติและอายุของต้วนเฉินเซวียนมากถึงขั้นนั้นแล้ว ข้อได้เปรียบเดียวของเขาคือต้องอาศัยใบหน้าที่ดูไร้พิษสงและเห็นอกเห็นใจทำต้วนเฉินเซวียนตายใจ
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าการลงมือของซูเหลียนอวิ้นเพียงครั้งเดียวจะถึงขั้นทำให้เขาเลือดตกยางออก! ลงมือได้ดียิ่ง ลงมือได้ดียิ่ง! คนที่สามารถทำให้ต้วนเฉินเซวียนต้องพบกับความพ่ายแพ้เช่นนี้ หนานกงเช่อคิดว่าตนจะต้องดึงคนเช่นนี้เข้ามาเป็นพวกของตัวเองให้ได้
“ข้าขอส่งเจ้าแค่ตรงนี้” มือเล็กๆ ของหนานกงเช่อไพล่หลังเอาไว้ “คนที่ทำให้ต้วนเฉินเซวียนพ่ายแพ้ได้ถือว่าเป็นเพื่อนของข้า ดังนั้นไม่ว่ามีอะไรหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เจ้ามาหาข้าก็ได้เสมอ!”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “อ้อ ได้เพคะ แล้วพบกันใหม่เพคะองค์ชายเก้า…”
จะมัวแต่พูดไร้สาระอยู่ทำไมกัน ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกราวกับว่าตนใกล้จะเป็นลมแดดอยู่แล้ว การทำร้ายคนทำให้ได้เพื่อนร่วมต่อสู้เพิ่มขึ้นมาได้ด้วยหรือ…?
เฮ้อ พอคิดถึงตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็อดที่จะบ่นในใจไม่ได้ ต้วนเฉินเซวียน ท่านช่วยมาหาอีกหลายๆ รอบได้หรือไม่
ให้นางได้จัดการเขาหลายๆ รอบหน่อย ข้อที่หนึ่งนางจะได้ระบายอารมณ์ ข้อที่สองเผื่อจะมีเรื่องโชคดีเกิดขึ้นกับนางอีก?
ลงมือเพียงครั้งเดียว…แต่ได้ประโยชน์มากมายนัก!
_
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะไปห้องเรียนหรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของหลีมู่ดังมาจากด้านนอกห้อง
“ไม่ไปก็แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นบิดเนื้อบิดตัว สายตาของนางยังคงเพ่งไปที่ตำราในมือ นางใช้นิ้วมือพลิกตำราโดยที่ไม่เหลือบตาขึ้นมาพลางเอ่ยขึ้น “หลีมู่ ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าขอลาหนึ่งเดือน? เจ้ามิต้องคอยเทียวมาถามทุกเช้าหรอก เดือนนี้ข้าป่วย…เข้าเรียนไม่ไหว แค่กๆ แค่กๆ” ซูเหลียนอวิ้นกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้แล้วส่งเสียงไอ หากฟังเพียงเสียงแต่อย่างเดียวก็ดูคล้ายว่านางป่วยจริงๆ?
“คุณหนู…” หลีมู่ผลักประตูเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสายตาวิงวอนและปลอบประโลม “เช่นนั้นอาการป่วยนี้ของคุณหนู…เมื่อใดจะหายเจ้าคะ! เมื่อก่อนคุณหนูมิได้ชอบไปเรียนหนังสือหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้…”
เฮ้อ ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ นางเงยหน้าครุ่นคิดสักพักหนึ่ง นี่เป็นครั้งที่เท่าใดแล้วที่หลีมู่ถามคำถามนี้กับนาง? ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเมื่อยหูแล้วของนาง…
“หลีมู่ อาการป่วยของข้าร้ายแรงมากจริงๆ” ซูเหลียนอวิ้นทำสายตาอ้อนวอน “หากตอนนี้ข้าไปที่ห้องเรียน ข้าต้องตายแน่ๆ …หลีมู่ เจ้าทนได้หรือ?”
คำพูดประโยคนี้ของนางไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใด ไปเรียนที่ห้องหนังสือหรือ ที่นั่นต้วนเฉินเซวียนต้องอยู่ด้วยแน่ๆ … อีกอย่างเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว บาดแผลพวกนั้นคงหายนานแล้ว! หากนางกล้าไป นั่นไม่เท่ากับรีบส่งตัวเองไปตายหรอกหรือ?
อย่าไปดีกว่า ตอนนี้นางหลบหน้าเอาไว้ก่อนจะดีกว่า…ตอนนี้นางทำได้เพียงอธิษฐานว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ต้วนเฉินเซวียนจะลืมเรื่องที่นางเคยทำร้ายเขา! แม้ว่านางจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้เท่าไหร่ แต่เกิดเป็นคนก็ต้องมีความหวังเอาไว้ก่อน!
“ดังนั้นนะหลีมู่ เพื่อสุขภาพของข้าและเห็นแก่สุขภาพของปุถุชนทั่วไป หลีมู่เจ้าอย่าได้มาคอยถามอยู่ข้างๆ หูข้าอยู่เลยว่าข้าจะไปเรียนหรือไม่”
หลีมู่เบะปาก “ก็ได้เจ้าค่ะ…แต่คุณหนูจำเอาไว้ว่ามีเรื่องเรื่องนี้อยู่ก็พอ บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ…”
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นยกแขนของตนขึ้นโบกมือ “อีกประเดี๋ยวช่วยทำน้ำแข็งใสมาให้ข้าด้วยนะ! เอาที่หยาเอ่อร์ทำ!” วันนั้นหยาเอ่อร์มิได้พูดเหลวไหล ความสามารถในการทำอาหารของนาง…ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น
“คุณหนูใหญ่ บ่าวเองเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ตะโกนเรียก
“เข้ามาสิ” ซูเหลียนอวิ้นปิดหนังสือ “เร็วขนาดนี้เชียว?”
“พอสมควรเจ้าค่ะ คิดไว้แต่แรกแล้วว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูต้องอยากทาน ก็เลยเตรียมของทุกอย่างรอไว้แต่แรก” หยาเอ่อร์หัวเราะแล้วยื่นน้ำแข็งใสให้ “คุณหนูรีบทานเถิดเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวหากละลายคงไม่อร่อยแล้ว”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นรับมาแล้วชิมไปหลายคำ แต่เมื่อเห็นว่าหยาเอ่อร์ยังไม่ยอมออกไป ตอนนั้นจึงนึกบางอย่างขึ้นได้แล้วเอ่ยว่า “มีอะไร มีเรื่องอย่างอื่นอีกหรือ”
“คือว่า…” หยาเอ่อร์เกาศีรษะด้วยความเกรงใจ “คุณหนูใหญ่ คืนนี้บ่าวขอลาพักผ่อนสักคืนได้หรือไม่?”
“เอ๊ะ มีอะไรหรือ เจ้ามีธุระอะไร”
“ก็ไม่เชิงว่ามีธุระเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ตอบ “วันนี้ตอนค่ำๆ บ่าวอยากไปเดินเล่นที่งานเทศกาลโคมไฟ เพราะบ่าวไม่ได้ไปเที่ยวงานนี้มาหลายปีแล้ว คุณหนูใหญ่อนุญาติหรือไม่เจ้าคะ…” หยาเอ่อร์ถูมืออย่างตื่นเต้น เพราะงานเช่นองครักษ์…สิ่งที่ควรทำก็คือคอยแอบซุ่มและเฝ้าระวัง
แม้ว่าตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ใช่องครักษ์อย่างแท้จริงเพราะได้เปิดเผยตัวตนไปแล้ว แต่บางเรื่อง หากเจ้านายยังไม่ได้เอ่ยปาก คนที่เป็นบ่าวอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยปากก่อนได้
แต่จากการที่ได้รู้จักกับซูเหลียนอวิ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ หยาเอ่อร์ก็รู้ว่า คุณหนูใหญ่อย่างซูเหลียนอวิ้นปฏิบัติต่อทุกคนอย่างมีเมตตาและใจกว้าง ด้วยเหตุนี้นางจึงกล้าเอ่ยปากขอร้อง
“คืนนี้มีงานเทศกาลโคมไฟหรือ?!” ซูเหลียนอวิ้นตกใจจนวางน้ำแข็งใสในมือลง “ไม่เห็นมีใครบอกข้าเลย ข้าก็อยากไปเหมือนกัน!”
ตอนนี้หลีมู่เก็บกวาดของในครัวเรียบร้อยแล้ว และก็กะเวลาเอาไว้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงกินน้ำแข็งใสเสร็จแล้วจึงวางแผนจะไปเก็บถ้วยน้ำแข็งใส แต่ด้วยความบังเอิญ ตอนที่นางไปถึงประตูก็ได้ยินแผนการของซูเหลียนอวิ้นพอดี
“คุณหนูใหญ่!” หลีมู่รีบซอยเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูใหญ่ หากคุณหนูจะออกไปต้องบอกให้นายท่านกัยฮูหยินทราบก่อนนะเจ้าคะ!” หากไม่ยอมบอกก่อนนางไม่มีทางปล่อยคุณหนูไปเด็ดขาด!
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นอ้อนวอน “ข้าอยากไป…”
“มิได้บอกว่าไม่ให้คุณหนูไปนี่เจ้าคะ” หลีมู่ทำเป็นฟังไม่เข้าใจความหมาย “ขอแค่คุณหนูบอกนายท่านกับฮูหยินไว้ก่อน บ่าวเชื่อว่านายท่านกับฮูหยินต้องยอมให้คุณหนูออกไปเที่ยวแน่เจ้าค่ะ”
“เหลวไหล…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ออกไปเดินเล่นดูโคมไฟเท่านั้น หากตอนที่ข้าออกไปต้องนำองครักษ์ออกไปด้วยเป็นสิบคน มันจะเป็นการไปชมโคมไฟหรือว่าไปหาเรื่องผู้อื่นกันแน่?!”
อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ว่าพวกอันเพ่ยอิงไม่ได้ เพราะตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเด็กๆ ขนาดมีพวกเขาคอยเดินอยู่ตามหลัง ในขบวนโคมไฟนางยังหลงทางได้เลย ดังนั้นหลังจากงานขบวนโคมไฟนั้นเป็นต้นมา หากไม่จัดองครักษ์สักสิบคนขึ้นไปคอยตามติดซูเหลียนอวิ้น อันเพ่ยอิงก็คงไม่อาจวางใจได้