ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 146 สาเหตุ
“ข้าโตป่านนี้แล้วนะ!” ซูเหลียนอวิ้นโมโหจนเอามือตบโต๊ะน้ำชาพลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะเดินหลงได้อย่างไร!”
อีกอย่างเรื่องตอนนั้นยังเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่นางลืมไปตั้งนานแล้ว หลงทางตอนเด็ก…นั่นเป็นเรื่องปกติมิใช่หรอกหรือ…!
แต่ทุกๆ ครั้งที่นางตอบโต้อันเพ่ยอิงเช่นนี้ อันเพ่ยอิงจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้า แล้วเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “อวิ้นเอ๋อร์ แม่หวังดีกับเจ้านะ! เจ้าไม่เคยรู้หรอก ตอนนั้นที่เจ้าหลงทางยังเจ้าเด็กมาก…”
เรื่องนี้แค่คิดตัวก็สั่นแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบยกย่องในใจที่ท่านแม่ของนางจำเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปีได้ราวกับผ่านมาเพียงวันเดียว ทุกครั้งที่นางเอ่ยว่าอยากจะออกไปเที่ยวเล่น บทพูดเหล่านั้นก็จะถูกเอ่ยขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
‘ตอนนั้นที่เจ้ากลับมาบนเสื้อผ้าของเจ้ามีแต่รอยเปื้อนดินโคลน! อีกอย่างตอนนั้นเครื่องประดับที่แม่ให้เจ้าใส่ไปตอนก่อนออกจากบ้านก็หายไปหมด! เห็นได้ชัดๆ เลยว่าบนโลกนี้มีโจรจอมละโมภอยู่เยอะขนาดไหน! โลกที่วุ่นวายเช่นนี้เจ้าว่าแม่จะยอมให้…’
หยาเอ่อร์เห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปที่จุดๆ หนึ่งราวกับกำลังหวนรำลึกความทรงจำบางอย่าง นางจึงไม่กล้าเอ่ยปากขึ้นในตอนนั้น แต่เมื่อผ่านไปพักใหญ่แล้วเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นยังคงไม่ยอมเอ่ยปากจึงพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ หากคุณหนูอยากไปจริงๆ บ่าวจะเป็นองครักษ์ให้คุณหนูเอง แค่นี้ก็คงพอแล้วกระมัง?”
ซูเหลียนอวิ้นหลุดจากภวังค์ แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าใบหน้าตอนร้องไห้ “หยาเอ่อร์ เจ้าคิดอะไรตื้นๆ !”
ตอนนั้นนางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน! ให้เอาองครักษ์ไปด้วยก็เอาเถอะ มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่!
ทว่าผู้ใดจะคิดเล่าว่าเหล่าองครักษ์ที่อันเพ่ยอิงเลือกให้นางจะมีท่าทางดุร้ายน่าหวาดกลัวทุกคนปานนั้น ทุกครั้งที่นางเดินเข้าไปบริเวณที่ฝูงชนหนาแน่นทีไร องครักษ์ของนางจะต้องรีบกันคนอื่นออกให้อย่างบ้าคลั่ง!
เนื่องจากมีผู้คนรายล้อมมากมายจึงต้องเบียดทุกคนออกไปหมด แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่าหวาดกลัว คนพวกนั้นจึงทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำ และใช้เพียงสายตาต่อว่าซูเหลียนอวิ้นราวกับต้องการพูดกับนางว่า แค่มาเดินดูโคมไฟเท่านั้นเหตุใดต้องนำคนมากมายมาคอยคุ้มกันเช่นนี้ด้วย ถ้ากลัวขนาดนี้ก็อย่าออกมาเลยจะดีกว่า!
อีกทั้งด้วยความเอาใจใส่ขององครักษ์ของนาง เวลาที่นางเห็นของที่ต้องตาต้องใจเมื่อใด นางเพียงเหลือบตามองแวบเดียว ไม่ต้องให้นางเอ่ยปากสั่ง ก็จะมีองครักษ์รีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเพื่อจะซื้อของชิ้นนั้นมาให้นาง
แต่ด้วยท่าทีที่ดุร้ายน่าหวาดกลัวเป็นเหตุ ผู้ใดจะกล้ารับเงิน? พวกเขาจึงได้แต่ยื่นของให้ด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งนอกจากจะไม่อยากรับเงินแล้วยังคิดจะจ่ายเงินให้เพื่อขอร้องให้พวกองครักษ์ปล่อยตนให้ค้าขายได้อย่างสะดวก และอย่าทำร้านพวกเขาพัง!
และเมื่อเดินถึงช่วงท้ายตลาด คนพวกนั้นแค่เห็นนางเดินมาก็รีบเก็บร้านตัวเองเพราะกลัวว่าตนจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
หลังจากที่ได้ร่วมงานที่น่าประทับใจมากครั้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็เพิ่งจะมารู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของอันเพ่ยอิงในภายหลัง เนื่องจากในตอนนั้นนางไม่ต้องการคำแนะนำใดๆ และใครก็ตามที่กล้าพูดต่อหน้านางเรื่องการไปเที่ยวงานโคมไฟครั้งนั้น รับประกันได้เลยว่านางจะต้องโมโหปรอทแตกอย่างแน่นอน!
ทว่าเนื่องจากเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ความทรงจำที่น่าอับอายเหล่านั้นก็ได้เจือจางลงไปมาก ดังนั้นงานโคมไฟครั้งนี้…นางจึงอยากจะกลับไปเดินเล่นอีกสักครั้งแล้ว!
“หยาเอ่อร์ คืนนี้พวกเราไปงานโคมไฟด้วยกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “แต่อย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูท่านแม่ก็พอแล้ว” หากความแตกขึ้นมา…ก็ไม่ต้องต่อรองอะไรอีก! นางจะเป็นฝ่ายล้มเลิกเอง และไม่คิดจะไปอีก!
“เจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ยิ้มเนื่องจากนางไม่รู้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้น นางคิดเพียงว่าซูเหลียนอวิ้นไม่อยากให้พ่อแม่ของนางก้าวก่ายเรื่องราวของตัวเองมากจนเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ “อย่างนั้นคืนนี้บ่าวจะมาเรียกคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ คุณหนูอย่าห่วงเลย บ่าวกับพี่ผูหลิววางแผนว่าจะไปด้วยกัน คุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอะไรเลยเจ้าค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด” มีพวกผูหลิวอยู่ด้วย ดูท่าแล้วคืนนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการแอบย่องหนีออกไปอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งไปได้แล้ว แต่ว่า…ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีปัญหาเล็กๆ ปัญหาหนึ่งที่ยังไม่ได้แก้?
“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นเอี้ยวตัวไปอีกด้าน “หลีมู่ ช่วงนี้ข้าไม่ได้ออกไปร่วมเทศกาลอย่างนี้มานานมากแล้ว หลีมู่ยอมให้ข้าไปสักครั้งเถิด”
“อีกอย่างเมื่อกี้หยาเอ่อร์ก็พูดแล้วนี่ มีพวกผูหลิวอยู่ ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
“แต่…” หลีมู่ยังคงลังเล “เช่นนั้น คุณหนูบอกฮูหยินไว้สักหน่อย…”
“มิได้!” ซูเหลียนอวิ้นขัดขึ้นทันที “งานเทศกาลครั้งนั้นผลสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลีมู่เจ้าก็ไปกับข้านี่! เอาอย่างนี้นะหลีมู่ คืนนี้เจ้าอยู่ที่เรือนนี้แทนข้าก็แล้วกัน เผื่อพวกเขาส่งคนมาหาข้า แน่นอนว่าหากมีคนมา เป็นตายอย่างไรเจ้าก็ห้ามออกไปเจอ”
หลีมู่เจ้าเป็นตัวขัดขวางยิ่ง!
การไปเที่ยวงานโคมไฟครั้งนี้…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า นางไม่เอาหลีมู่ไปด้วยจะดีที่สุด!
หากนางไปครั้งนี้ นางจะต้องได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน เดินเล่นอย่างสบายใจสักครั้ง! หากนำหลีมู่ไปด้วย คนที่ห้ามนางกินทุกอย่าง ซื้ออะไรก็บอกว่าเปลืองตังค์ นางคงมัวแต่ต้องคอยพะวงคิดมากอย่างแน่นอน!
ดังนั้นครั้งนี้อย่าพาไปด้วยจะดีที่สุด! อีกอย่างเดิมทีคนอย่างหลีมู่ก็ไม่มีความสนใจงานเทศกาลอะไรเช่นนี้อยู่แล้ว! ทำให้นางแอบคิดทุกครั้งว่าหลีมู่แท้จริงแล้วใช่หญิงสาวอายุเท่านี้จริงหรือ จะมีคนไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องมีต่ง มีแต่อะไรแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมืออกไปห้าม “เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร โอกาสที่ข้าจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงมีถึงแปดส่วน ดังนั้นหลีมู่…พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้สู้เจ้าเอาเวลาไปนั่งคิดจะดีกว่าว่าจะแต่งตัวอย่างไรให้เหมือนข้าและไม่ให้ถูกจับได้”
หลีมู่….
‘คุณหนูบ่าวยังพูดไม่จบเลย! สิ่งที่บ่าวอยากจะพูดคือ คุณหนูสามารถรับปากกับบ่าวได้หรือไม่ว่าคืนนี้คุณหนูจะปลอมตัวเป็นผู้ชายออกไป? หากแต่งเป็นหญิงออกไปล่ะก็…คุณหนูโดดเด่นเสียขนาดนี้ นางวางใจไม่ลงจริงๆ!’
“เจ้าค่ะคุณหนู…” หลีมู่ถอนใจ “แต่ครั้งนี้ปลอมตัวเป็นชายออกไปได้หรือไม่? หากแต่งเป็นหญิง…”
“ข้าต้องแต่งเป็นชายอยู่แล้วน่า!” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตา “หากแต่งเป็นหญิง คงจะวุ่นวายแย่!” เพราะงานอย่างเช่นคืนนี้ คนที่ออกมาเที่ยวเล่นคงไม่น้อยแน่ หากระหว่างทางเจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดฝันหรือเจอคนที่ไม่อยากเจอเข้า การปลอมตัวเป็นชายก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัวไว้ชั้นหนึ่ง!
“ตกลงเพคะ เช่นนั้นคุณหนู…จะต้องระวังให้มากๆ อย่าหลงทางอีก!” แนะนำไปก็ไร้ประโยชน์ นางคงทำได้เพียงบ่นให้มากหน่อย!
“อ้อ ข้ารู้แล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน จะให้เรื่องน่าอายติดตัวข้าไปตลอดชีวิตเลยหรือ? ก็แค่เดินหลงครั้งเดียวตอนเด็กเท่านั้นเอง! คนที่รู้เรื่องนี้ทุกคนล้วนคอยเตือนนางทั้งนั้นว่าเวลาออกไปไหนห้ามหลงทางเด็ดขาด และต้องระมัดระวังตัวให้มาก!
ในใจของซูเหลียนอวิ้นรู้สึกขมขื่นมาก นางโตปานนี้แล้ว เขาพิธีปักปิ่นแล้ว! เรื่องราวในอดีตควรเลิกเอ่ยถึงได้แล้วกระมัง…
“ขอให้คุณหนูมีแผนในใจก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้า “บ่าวขอไปคุยกับพวกผูหลิวสักหน่อย เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ คุณหนูมักจะ…”
“รีบไปเถอะ…” อย่าบ่นให้นางได้ยินอีกก็พอ