ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 147 สังหารหมู่
“หลีมู่ ข้าไปแล้วนะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นเมื่อทำผมของตัวเองในกระจกเสร็จ
“คุณหนูใหญ่ รีบไปรีบกลับและระวังเนื้อระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ!” หลีมู่ที่เอนกายอยู่หลังมุ้งคลุมเตียงเอ่ยขึ้นพลางถอนใจ “ผูหลิว เจ้าต้องคุ้มครองคุณหนูใหญ่ให้ดีนะ!”
“วางใจเถิด…” ผูหลิวกุมขมับถอนใจ นี่มิได้จะไปรบเสียหน่อย เหตุใดต้องพูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกด้วยเล่า? คิดแล้วก็น่าสงสารคุณหนูที่สิบกว่าปีมานี้ต้องทนกับคำพร่ำสอนของหลีมู่ที่ฟังดูคล้ายแม่เฒ่าเช่นนี้…
“ไปๆๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นเลียนแบบท่าทางของหลินเหวินเสี่ยวที่มอบพัดให้นางในตอนนั้นด้วยการทำท่าพัดให้ตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ หากมองไกลๆ ก็ดูคล้ายว่าเป็นท่าทางของคุณชายคนหนึ่งจริงๆ
รอบตัวนางมีหลายคนคอยคุ้มกันอยู่ แต่หากนางไม่มีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่รอบกาย…พูดตามตรงแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็แอบรู้สึกพะวงเช่นกัน
แต่เนื่องจากนางมิอาจใช้กระบี่เล่มนั้นได้ เนื่องด้วยเหตุผลข้อแรกคือ นางยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ และข้อที่สองหากนำกระบี่ติดตัวไปด้วย…มันจะเตะตาผู้อื่นมากเกินไปหน่อย ดังนั้นพัดเล่มนี้ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้
“ถังหูลู่[1]จ้า!”
“มาทายปริศนาโคมไฟ ลุ้นรับโคมไฟจ้า!”
“ผูหลิว ไปกัน เราไปดูปริศนาโคมไฟด้านนั้นกัน” ซูเหลียนอวิ้นกลืนถังหูลู่ที่อยู่ในปากลงไปพร้อมชี้ไปที่ร้านค้าด้านหน้า “แต่ว่าข้าไม่ค่อยเก่งเรื่องการทายปริศนาโคมไฟเท่าไหร่นัก…ผูหลิว พวกเจ้าทายถูกหรือไม่?” หากไม่มีใครทายเป็นสักคน คงจะหน้าอายทีเดียว!
เนื่องจากเทศกาลโคมไฟเช่นนี้…หากสุดท้ายแล้วไม่สามารถทายปริศนาโคมไฟถูกแล้วแลกโคมไฟมาได้สักอันเดียว ผู้คนคงจะสงสัยแน่ว่าคืนนี้นางออกมาที่นี่ทำไมกัน แค่ออกมากินถังหูลู่อย่างเดียวหรือ?
“บ่าว พอเข้าใจอยู่บ้าง…” ผูหลิวกระแอม หน้าของนางกลายเป็นสีแดง
เอาล่ะ อันที่จริงไม่ใช่เข้าใจอยู่บ้าง แต่นางไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยต่างหาก แต่เมื่อเห็นสายตามีความหวังของซูเหลียนอวิ้นแล้ว เดิมทีที่นางตั้งใจจะเอ่ยออกไปว่าตนไม่เข้าใจเช่นกัน เวลานี้กลับต้องกล้ำกลืนคำนั้นลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นพอเข้าใจอยู่บ้าง
“มิเป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นมองความประหม่าของผูหลิวออกจึงยื่นมือออกไปตบไหล่ของนางเบาๆ “หากพวกเราเดาไม่ได้ก็ไปดูผู้อื่นเดาก็แล้วกัน คืนนี้ได้ออกมาเที่ยวก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่ามัวแต่คิดเรื่องราวที่ทำให้เสียอารมณ์จะดีกว่า”
“จริงด้วย” เสียงของหยาเอ่อร์ดังขึ้นจากด้านข้าง “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูเอาสนุกก็พอแล้ว อันที่จริงหากรู้แต่แรก พวกเราควรลากหนานอี้ออกมาด้วย เขาถนัดเรื่องนี้ที่สุด! แต่น่าเสียดายที่เป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมออกมา”
“อืม ก็แค่…” ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงฝีเท้าม้าวิ่งก็ดังขึ้น
“มีคนถูกฆ่า!”
“คุณหนูใหญ่ หยาเอ่อร์ หลบ!” ผูหลิวเอามือคว้าเอวของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วใช้วิชาตัวเบายกตัวเองขึ้นจากพื้นกระโดดขึ้นไปบนโรงเตี๊ยม
ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “ด้านล่างเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“มิทราบเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ส่ายหน้า “ดูคล้ายมีการ…ต่อสู้กัน”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
ซวยจริงๆ ! กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเล่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับต้องมาพบกับเรื่องราวเช่นนี้อีก? คงไม่มีผู้ใดมีโชคชะตาเช่นนี้อีกแล้วกระมัง
ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ด้านบนหลังคา นางนั่งกอดเข่าแล้วจ้องเขม็งไปยังความโกลาหลและเสียงตะโกนโหวกเหวกของฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง “พวกเจ้าว่าคืนนี้จะมีคนตายกี่คน?”
“มิทราบเจ้าค่ะ” ผูหลิวเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “คงจะอยู่ที่โชคชะตากระมังเจ้าคะ หากยังไม่ถึงคาดจะอย่างไรก็ต้องรอด”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ
อันที่จริงตอนนี้…นางก็อยากจะทำตัวน่าเกรงขามเหมือนอย่างในนิยายหลายๆ เล่มเขียนเอาไว้ แล้วสั่งการให้ผูหลิวกับหยาเอ่อร์ลงไปช่วยคนอื่นหรืออาจจะเป็นนางเองที่อาศัยสองมือสองเท้าของตนลงไปช่วยชีวิตคนอื่นให้ได้เท่าที่จะมากได้
ทว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องในนิยายเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว…
ลมราตรีโชยมา ซูเหลียนอวิ้นอดตัวสั่นไม่ได้ นางไม่ได้เป็นผู้กล้าหาญอะไรเลย นางเองก็กลัวตายเช่นกัน ดังนั้นเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาแสดงความกล้าหาญอะไร ในเมื่อนางมีคนคอยคุ้มกันแล้ว นางก็ต้องใช้โอกาสนี้ของตนอย่างคุ้มค่าที่สุด
อีกอย่างรสชาติแห่งความตายนั้น นางได้ลิ้มรสเพียงครั้งเดียวก็คงเพียงพอแล้ว สิ่งที่นางพอจะทำได้ตอนนี้เกรงว่าคงจะเป็นเพียงการสวดภาวนาเท่านั้น
ภาวนาให้จำนวนผู้เสียชีวิต ลดน้อยลงบ้าง
“คิดไม่ถึงเลยว่า ปลาที่หลุดจากแหจะมาอยู่ตรงนี้ แถมยังเป็นปลาตัวใหญ่เสียด้วย! บังเอิญยิ่ง ไม่น่าเชื่อเลย” มีเสียงแห่งความอำมหิตบ้าคลั่งดังขึ้น ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังที่มาของเสียง คนผู้นี้…
“เจ้าคือคนของตระกูลหยาง!” ตาของซูเหลียนอวิ้นเบิกโพลงแล้วชี้ไปที่ชายชุดดำผู้นั้น
นางคิดออกแล้ว! การสังหารหมู่ในครั้งนี้ไม่ใช่ความบังเอิญใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการวางแผนเอาไว้อย่างดีแล้วต่างหาก!
ในเวลานี้เมื่อชาติที่แล้ว หยางเกิ่งรั่งได้วางแผนการชิงบัลลังค์และลอบปลงพระชนม์ลี่หยวนตี้! น่าเสียดายที่ลี่หยวนตี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แต่แรกแล้ว คนของหยางเกิ่งรั่งไม่เพียงไม่สามารถซื้อฝ่ายตรงข้ามาเป็นพวกได้ แต่ยังถูกกำจัดจนสิ้นซากในครั้งนี้ด้วย
และภายใต้ความวุ่นวายนี้ คนที่ทุ่มเทแรงกายมากที่สุดก็คือบิดาของนาง ซูปั๋วชวนนั่นเอง
ดังนั้นการสังหารหมู่ครั้งนี้เกรงว่าคงจะเป็นการทำไปเพื่อระบายความแค้นกระมัง เพราะแผนการซื้อฝ่ายตรงข้ามล้มเหลวจึงไม่พอใจลี่หยวนตี้ พวกเขาจึงนำความแค้นทั้งหมดของตนไปลงที่ประชาชนบริสุทธิ์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว! เพื่อให้แผ่นดินต้าชั่วเกิดความวุ่นวายขึ้น!
ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน ไม่เสียแรงที่เป็นคนตระกูลหยางผู้บ้าคลั่ง เรื่องราวเช่นนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทำได้
“คุณหนูซูตาถึงยิ่งนัก น่าเสียดายที่ต่อให้ตาดีแค่ไหน ถ้าสิ้นลมหายใจก็ไร้ประโยชน์” คนผู้นั้นแค่นหัวเราะพลางแกว่งไกวกระบี่ที่เปื้อนเลือด
“เหลวไหล!” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นสั่นเครือ “คุณหนูซูอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!” นางยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด! หากตอนนี้นางยอมรับว่าตนคือซูเหลียนอวิ้น เกรงว่าพวกที่กำลังฆ่าคนอย่างกระหายเลือดอยู่ด้านล่างนั้น เป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาจะต้องเปลี่ยนเป็นนางอย่างแน่นอน!
ลูกสาวของซูปั๋วชวน ถือเป็นที่ระบายความแค้นได้เป็นอย่างดี!
“คุณหนูซูแสดงเก่งนัก” คนผู้นั้นยังคงแค่นหัวเราะต่อ “แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรคนตายก็มีค่าเท่ากัน”
ตอนนี้ผูหลิวกับหยาเอ่อร์เตรียมตัวพร้อมแล้ว เวลานี้จึงพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันสรแล้วโจมตีอย่างรวดเร็ว โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะเด็ดหัวคนพวกนั้นมาให้ได้
ทว่าสองมือยากจะต่อกรสี่มือ ตอนนี้คนชุดดำดูเหมือนจะมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนท่าทางของพวกผูหลิวเองก็คล้ายว่ากำลังจะรับมือไม่ไหวเต็มที
ตอนนี้มือขวาของซูเหลียนอวิ้นกำพัดเอาไว้แน่น ใบมีดถูกดึงออกมาเรียบร้อยแล้ว รอเพียงหากมีผู้ใดกล้าโจมตีนางก็จะตอบโต้กลับทันที
“คุณหนูใหญ่!” ผูหลิวร้องเสียงหลง ในช่วงเวลาที่ไม่ทันได้ระวังนั้นมีคนผู้หนึ่งที่อยู่ตรงหยาเอ่อร์ในตอนแรกบุกเข้าใส่ซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้นยกเท้าขึ้นแล้วถีบคนที่บาดเจ็บหนักผู้นั้นจนกระเด็น จากนั้นนางจึงใช้ใบมีดที่พัดแทงเข้าไปแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวจนกระทั่งรู้สึกปลอดภัย
——
[1] ถังหูลู่ หมายถึงขนมชนิดหนึ่งที่นำผลไม้เป็นคำๆ มาเคลือบน้ำตาลแข็งแล้วเสียบไม้