ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 160 หมั้น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสายตาสุขใจของเยียลี่ว์เยียนที่คาดหวังให้นางรีบเล่าเรื่องราวต่างๆ ออกมาโดยเร็วแล้วตอนนั้นเองที่ในใจของนางพลันมีเสียงเตือนดังขึ้น จู่ๆ เยียลี่ว์เยียนก็สนใจในตัวนางมากขนาดนี้…รวมทั้งคำพูดวันนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนพูดไว้กับนาง…
“ข่าวลือพวกนั้นเป็น…ข้าเองที่ส่งคนออกไปปล่อยข่าว…” ซูเหลียนอวิ้นกัดฟันแล้วเค้นเสียงพูดประโยคนี้ออกมาจนจบ แต่เมื่อเอ่ยจบไปแล้วนางก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา! ต้วนเฉินเซวียนนะต้วนเฉินเซวียน…เพราะเรื่องราวไร้สาระไม่กี่คำพวกนั้นของท่านแท้ๆ! นางจึงต้อง…!
“คุณหนูซูเป็นคนปล่อยข่าวเองรึ” เยียลี่ว์เยียนคิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยเช่นนี้ ตอนนั้นเองจึงทำท่าทางราวกับว่าได้ฟังเรื่องราวน่าตกใจบางอย่างจนต้องยกมือยกขึ้นมาปิดริมฝีปากเอาไว้ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะบ่นอุบอิบออกมา “คุณหนูซู…แต่ชาวต้าชั่วอย่างพวกเจ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเรื่องนี้เป็นที่สุดมิใช่หรือเจ้าทำเช่นนี้…ไม่เสียใจทีหลังหรือ”
“ไม่เสียใจ…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามก้มหน้าปิดบังสีหน้าของตนให้มากที่สุด “เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะใช้โอกาสนี้กดดันต้วนเฉินเซวียนให้เขาต้องยอมรับข้าโดยปริยาย…ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องราวจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่…”
เยียลี่ว์เยียนจ้องซูเหลียนอวิ้นอย่างอาฆาต พยายามที่จะจับให้ได้ว่านางมีพิรุธอะไรหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าต่ำเกินไปจนแทบจะหดเข้าไปทั้งตัว! ดังนั้นแม้ว่านางจะอยากจับผิดมากเท่าไหร่ก็เห็นได้เพียงแค่ไหล่ทั้งสองข้างของนางที่กำลังสั่นไหวเบาๆ
รู้สึกราวกับว่า…นางคงเสียใจและเจ็บปวดจริงๆ
“ข้าไม่ดีเอง!” เยียลี่ว์เยียนถอนใจ “ข้าก็นึกว่า…เฮ้อ! ข้าเอ่ยถึงเรื่องราวน่าเจ็บปวดของคุณหนูซูถือเป็นความผิดของข้าเอง…คุณหนูซูอย่าถือสาได้หรือไม่”
“ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาทำให้เห็นดวงตาสีแดงก่ำของนางที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ข้าคิดว่าองค์หญิงรู้สึกเชื่อใจข้าตั้งแต่แรกเห็นและรู้สึกสนิทสนมกับข้าแม้จะเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียว ดังนั้นจึงกล้าพูดเรื่องราวที่อยู่ในใจออกมาหมด
“อีกอย่างครั้งนี้ต้องขอบคุณองค์หญิงจึงจะถูก หากไม่มีองค์หญิงรับฟังข้า เรื่องราวนี้ของข้า…ไม่รู้ว่าต้องอัดอั้นไปอีกกี่ปีกี่วันถึงจะได้ระบายออกมา! พอพูดออกมา ข้ารู้สึกโล่งอกไปเยอะเลยทีเดียว…”
“ไม่เป็นไรการที่ข้าได้ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก” เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้วแล้วหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาเพื่อบดบังความดูถูกดูแคลนที่ปรากฎขึ้นในสายตาของตน สตรีนางหนึ่งตามจีบบุรุษจนถึงขั้นนี้ ผลสุดท้ายยังถูกปฏิเสธ นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าและไร้ความสามารถอย่างยิ่ง!
“อันที่จริงที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่ออยากจะพูดคุยกับคุณหนูซูอีกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” เยียลวี่เยียนเปิดฝากาน้ำชาออก ทว่าเมื่อได้ยินกลิ่นขมที่อบอวลขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ความอยากอาหารของนางจึงหมดไป
และเนื่องจากเยียลี่ว์เยียนรู้สึกว่าตนมองนางจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ซูเหลียนอวิ้นนางนี้ เพียงดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงสาวที่รู้จักแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นางหนึ่งเท่านั้น หากนางไม่มีความรักก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกกระมังคนประเภทนี้ไม่มีค่าพอให้นางต้องกังวลอะไร
“องค์หญิงว่ามาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเช็ดน้ำตาสองหยดที่บีบให้ไหลออกมาได้อย่างอยากลำบากแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้
“คุณหนูซู มันอาจจะไม่ดีต่อเจ้าเท่าไหร่นัก”
“อะไรรึ”
“จุดมุ่งหมายที่ข้ามาในครั้งนี้ เพราะต้องการจะมาหมั้นหมาย และคู่หมั้นที่ข้าเลือกคือ…คุณชายต้วน…” เยียลี่ว์เยียนทำท่าราวกับไม่กล้ามองหน้าซูเหลียนอวิ้นอีกต่อไปจึงเบนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าหางตาของนางกลับแอบคอยจับสังเกตว่าเมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำพูดนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
“องค์หญิง…” ซูเหลียนอวิ้นนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเขยื้อน ครั้งนี้ไม่ใช่การแสดงแล้ว แต่นางกำลังตกใจจริงๆ
ต้วนเฉินเซวียนจะหมั้นแล้วหรือแต่งกับองค์หญิง…? ก็ดี อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต่างจากที่นางคาดหวังไว้เท่าไหร่นัก
แต่…ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังปวดใจอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นยินดีกับพวกท่านด้วย…องค์หญิง พวกท่านเหมาะสมกันนัก” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วฝืนยิ้มออกมา ทำให้การยินดีครั้งนี้ดูราวกับว่าออกมาจากใจจริงๆ
อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครมาตามพัวพันนางอีก อืม ดีมาก!
“คุณหนูซู ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน…หวังว่าคุณหนูซูจะเข้าใจ” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจและรู้สึกผิด
“เอ่อ ขอบคุณองค์หญิงมากที่แจ้งให้ทราบไม่ไปส่งนะเพคะ”
ณ สวนสาลี่
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” ผูหลิวยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลิวจือจนขาของนางชาไปหมดดังนั้นเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นจึงตื่นเต้นจนแทบจะหัวทิ่มเลยทีเดียว
“คุณหนูใหญ่…?” ผูหลิวเอ่ยปากขึ้นและคิดจะถามต่อว่าสุดท้ายแล้วจะให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไร เนื่องจากตนได้คิดวิธีลงโทษเขาไว้หลายร้อยวิธีแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าหนักอึ้งของซูเหลียนอวิ้นบวกกับหลีมู่ที่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เดินตามหลังซูเหลียนอวิ้นนั้น
“ปล่อยคนผู้นี้ไปเสีย” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “แก้เชือกออกเถิด จากนั้นเขาจะไหนก็ปล่อยเขาไป ให้เขารีบหายตัวไปให้พ้นๆ หน้าข้า!” น้ำเสียงตอนท้ายของซูเหลียนอวิ้นคล้ายเป็นการแผดเสียง เนื่องจาก…เมื่อนางเห็นหลิวจือ ภาพที่ต้วนเฉินเซวียน…จูบนางเมื่อคืนนี้ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
มันไม่มีความหมายอะไรกับนางแล้ว อีกอย่างคนที่กำลังจะหมั้นกลับกล้าทำเช่นนั้นกับนางเมื่อคืน…!
หลิวจือเองก็มิใช่คนโง่ เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขาคิดว่าคุณหนูซูตอนนี้คงไม่อยากจะเห็นหน้าตนเอาเสียมากๆ กระมัง…
ดังนั้นเขาขอหายตัวไปก่อนจะดีกว่า! หากนางอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วคิดจะเอาเขาส่งเข้าวังไปเป็นขันทีขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร
“คุณหนูใหญ่ขอรับ…บ่าว ขอตัวก่อน…” หลิวจือขยับแขนของเขาที่แข็งทื่อจากการโดนมัดแล้วเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ
“ไปซะ หากคนของข้าจับตัวเจ้าได้อีก” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา คราวนี้ในสายตาของนางเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง “ข้าจะตัดของเจ้าไปให้หมากิน!”
“ขอรับๆๆ บ่าวขอตัวลา!” เมื่อหลิวจือเห็นสีหน้าจริงจังของซูเหลียนอวิ้นตอนนั้นก็รู้ทันทีว่านางไม่ได้ขู่อีกแล้ว คราวนี้นางพูดจริง! ดังนั้นเดิมทีความคิดที่เขาคิดจะหยอกเล่นเพื่อทดสอบว่าจริงๆ แล้วซูเหลียนอวิ้นรู้สึกอย่างไร ตอนนี้เขาพลันเก็บคำพูดทุกอย่างเอาไว้แล้วไม่กล้าพูดอีก จากนั้นจึงรีบพุ่งตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
“ผูหลิว”
“เจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่ บ่าวอยู่ตรงนี้!” ผูหลิวยังคงปรับตัวจากท่าทีของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่นี้ไม่ทัน ดังนั้นเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเรียกชื่อตนขึ้นมากระทันหันก็ตกใจจนตัวสั่นพลางเอ่ยตอบ “คุณหนูใหญ่มีสิ่งใดให้รับใช้!”
“ตั้งแต่คืนวันนี้เป็นต้นไป เจ้าย้ายมานอนกับข้า แล้วให้พวกหยาเอ่อร์กับหลานเย่ว์ผลัดเปลี่ยนเวรกันทุกวันคอยมาเฝ้าห้องข้าก็พอ” ซูเหลียนอวิ้นกอดอกแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นความผิดของพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้าเป็นคนปล่อยให้เขาเข้ามาเองมิใช่หรือแต่ข้าจะไม่เอาความ ทว่าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องเฝ้าเรือนของข้าไว้ให้ดี จำไว้ว่าแม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ห้ามบินเข้ามา!”