ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 161 ล่อเสือออกจากถ้ำ
“ที่นี่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว พวกเจ้าอยากจะไปทำอะไรก็ไปเถอะข้าอยากนอนแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วเนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกว่าท้องน้อยของนางเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะ…ดูแลคุณหนูอย่างดี…” เมื่อผูหลิวเห็นใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นซีดเผือด แต่กลับยังฝืนทำท่าราวกับไม่เป็นอะไรนางจึงรู้สึกปวดใจอย่างมากจึงเอ่ยออกไปว่า “คุณหนูใหญ่จะให้บ่าวตรวจดูก่อนดีหรือไม่…?” ท่าทางของคุณหนูตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นระดู ข้าเลยรู้สึกปวดท้องเท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นพยายามแค่นยิ้มที่สมบูรณ์ที่สุดออกมาจากนั้นเอ่ยต่อว่า “ข้ากลับไปพักผ่อนสักประเดี๋ยวคงจะดีขึ้น คอยเรียกข้าเมื่อถึงเวลาอาหารก็พอ”
“เจ้าค่ะ…อย่างนั้นคุณหนูใหญ่รีบพักผ่อนเถิด” ผูหลิวกลืนความคิดที่เตรียมจะพูดออกไปตอนแรกลงไปแล้วทำเพียงมองตามเงาด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นอยู่เงียบๆ
“หลีมู่ สรุปแล้วคุณหนูใหญ่เป็นอะไรกันแน่!” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูจนสนิทแล้ว ทันใดนั้นเองหยาเอ๋อร์และคนอื่นๆ ที่เหลือ รวมทั้งหลานเย่ว์จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนก็พุ่งมารวมตัวกัน
“พวกเจ้าโผล่มาจากที่ใดกัน” หลีมู่ตกใจจนถอยหลังไปเล็กน้อยพร้อมเอามือกุมหน้าอกแล้วถอนใจ
“โธ่เอ๊ย นี่ใช่เรื่องสำคัญของปัญหานี้รึ” อวี่ซางเอ่ยปากอย่างเหลืออด “คุณหนูใหญ่เป็นอะไรไปก่อนจะไปยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดตอนกลับมาถึง…เป็นเช่นนี้ไป” กล่าวได้ว่าสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนกลับเข้ามาในเรือนทำเอาอวี่ซางตกใจแทบแย่
อวี่ซางคิดว่าตนเข้าใจซูเหลียนอวิ้นมากพอแล้วเพราะเขาติดตามซูเหลียนอวิ้นมานานถึงตอนนี้แล้ว ท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนดีใจ โกรธ หรือทุกข์ใจ เขาล้วนผ่านตามาแล้วทั้งนั้น ทว่าท่าทางเมื่อครู่นี้นั้น…
อวี่ซางถอนใจ เพราะถึงจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่าเป็นเจ้านายของตนหากเจ้านายของตนโดนรังแก จะมีบ่าวอย่างพวกเขาไว้ทำไมกัน
“คุณหนูใหญ่ นาง…” หลีมู่ก้มหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อ ตอนนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร
คำพูดขององค์หญิงผู้นั้นใช่ว่านางจะฟังไม่เข้าใจเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้มาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ! และหวังว่าภายภาคหน้าคุณหนูจะไม่เข้าไปพัวพันกับคุณชายต้วนอีก?
ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูของนางด้วย?! แทนที่จะมาพูดกับคุณหนูของนาง เอาไปพูดกับคุณชายต้วนนั่นต่างหากจึงจะถูก! เพราะคุณชายต้วนต่างหากที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด!
อีกอย่างคุณหนูไปพัวพันกับต้วนเฉินเซวียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! แม้ว่าวันนี้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูของนางถึงพูดแบบนั้นแต่ในฐานะที่นางเป็นสาวใช้คนสนิทของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน พัวพันกับคุณชายต้วนหรือคุณหนูของนางใช่คนพวกนั้นเสียที่ไหน!
น่าสงสารที่คุณหนูของนางไม่รู้เรื่องอะไรด้วย พอพูดออกไปอย่างใสซื่อเช่นนั้นจึงถูกคนผู้นั้นตบปากกลับมาเอาเสียง่ายๆ โลกใบนี้เหตุใดจึงมีเรื่องราวเช่นนี้?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่หลีมู่!” หยาเอ่อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงดึงหลีมู่ให้หันหน้ามาสบตาเพื่อฟังคำพูดของตน “เจ้ารีบพูดออกมาเร็วเข้า จากนั้นพวกเราจะได้รีบช่วยคุณหนูคิดวิธีการรับมืออย่างไรเล่า!” หากพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะมีประโยชน์อะไร
“ถึงอย่างไร ถึงอย่างไรก็” หลีมู่กระทืบเท้าแล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า “ถึงอย่างไรผู้ชายก็ไม่ใช่ของที่มีคุณค่าอะไร! โดยเฉพาะคุณชายต้วนนั่น!” เมื่อเอ่ยถึงต้วนเฉินเซวียน ขอบตาของหลีมู่ก็แดงก่ำขึ้นมาทันทีแต่ติดตรงที่นางเห็นแก่ภาพลักษณ์ที่ดีของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่จึงกล้ำกลืนคำด่าที่เดิมทีนางเตรียมเอาไว้กลับลงไป
“ต้วนเฉินเซวียน?” หลานเย่ว์เลิกคิ้ว “หลีมู่ เจ้าพูดออกมาซะดีๆ สรุปแล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” เหตุใดเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียนได้อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณหนูของพวกเขากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลานเย่ว์เองก็ไม่รู้ว่าความโกรธของเขามาจากที่ใด เนื่องจากเขากับซูมั่วเยี่ยเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกอย่างเขาดูแลซูเหลียนอวิ้นมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว เขาเองจึงมองซูเหลียนอวิ้นเปรียบเสมือนน้องสาวของเขาคนหนึ่งไปเสียแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เมื่อรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียน เขาจึงอดเสียดายไม่ได้ที่วันนั้นตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมาเขาห้ามไม่ให้ผูหลิวลงแซ่เพิ่มอีก! แถมยังลงเบาไปเสียด้วยซ้ำ!
หยาเอ่อร์ไม่รู้เรื่องที่ต้วนเฉินเซวียนมาในวันนั้น ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายก็เริ่มเกิดความสนใจขึ้นมาทันทีแล้วซุบซิบกันว่า “คุณชาย? คุณชายที่ไหนกันแต่ว่าต่อให้เป็นคุณชาย การรังแกคุณหนูของพวกเราจนกลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ!”
“อย่างไรก็เป็นคุณหนูของเราที่โดนเอาเปรียบ!” หลีมู่สูดจมูกฟึดฟัดแล้วมองไปยังพวกหยาเอ่อร์ที่กำลังสุมหัวปรึกษากันอยู่ตอนนั้นนางจึงไม่มีความลังเลใจใดๆ อีกต่อไป อีกทั้งนางเองก็พูดออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว การพูดจาครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้…มิสู้พูดออกมาให้จบรวดเดียวเลยจะดีกว่า!
จะได้เป็นการให้คนอื่นๆ ช่วยตัดสินด้วยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูของนางด้วย?! ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงคนนั้นรีบบุกมาแหกหน้าคุณหนูถึงที่นี่ได้!
หลีมู่พยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงแล้วค่อยๆ ถ่ายทอดบทสนทนาระหว่างเยียลี่ว์เยียนกับซูเหลียนอวิ้นออกมาใหม่อีกครั้งแล้วตบท้ายด้วย “อีกอย่าง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าโจรกระจอกที่พวกเจ้าจับได้เมื่อคืน ความจริงแล้วคือผู้ใด”
ตอนนี้พวกอวี่ซางกำลังกัดฟันและสาบแช่งพฤติกรรมที่อุกอาดอวดดีของเยียลวี่เยียน รวมทั้งดูถูกว่าต้วนเฉินเซวียนทำเช่นนี้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นเมื่อหลีมู่ถามคำถามที่ดูเหมือนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันขึ้นมาเช่นนี้ต่างพากันขมวดคิ้ว
“ทำไมรึคนผู้นั้นคือใคร” หลานเย่ว์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ของตนเองให้สงบลงแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “หลีมู่ เจ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกพวกเราใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือคุณชายต้วน? หากใช่ เช่นนั้นพวกเราคงเสียใจมากที่ลงมือกับเขาเบาไปหน่อย!”
“มิใช่” หลีมู่ส่ายศีรษะ “แต่คนผู้นั้นคือคนรับใช้ของต้วนเฉินเซวียน” วันนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนมอบหมายให้หลิวจือนำของมามอบให้ซูเหลียนอวิ้น นางเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้นจึงจดจำใบหน้าของหลิวจือผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางเห็นโจรผู้นั้น ใจของนางพลันเต้นระส่ำ ทว่าเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป หลีมู่จึงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกมา
“องครักษ์ของคุณชายต้วน…?” ผูหลิวก้มหน้าขมวดคิ้วพลางทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมด
“แย่แล้ว!” ผ่านไปสักพักผูหลิวก็ตบศีรษะตัวเอง “เมื่อคืนวาน…” มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกว่าคนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่ง! เพราะหากเป็นโจรกระจอกทั่วๆ ไป เหตุใดถึงมีวรยุทธ์ดีเช่นนั้นได้อีกอย่างตอนที่บุกเข้ามายังส่งเสียงและตั้งใจปรากฏตัวให้พวกเราเห็นด้วย ถึงค่อยรีบหนีออกไป
ตอนนี้พอมานึกย้อนทบทวนดู พวกเขาทั้งหมดตกหลุมพลางแผนการธรรมดาที่สุดอย่างล่อเสือออกจากถ้ำเสียแล้ว! พวกเขารีบออกไปตามจับคนที่ปลอมเป็นโจรกระจอกผู้นั้นและปล่อยให้คนที่พวกเขาต้องดูแลนั่นก็คือคุณหนูของพวกเขาไว้ตามลำพัง!