ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 163 ซีดเซียว
“น้องหญิง” ซูมั่วเยี่ยเคาะที่ประตูเบาๆ สองที “สะดวกให้พี่เข้าไปหรือไม่”
“ท่านพี่เองหรือ ไม่เป็นไร เข้ามาเลยเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างอ่อนล้า จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง สีหน้าของนางยังไม่ดีเท่าไหร่นัก
“น้องหญิง สีหน้าของเจ้าไม่ค่อยดีเลย” เมื่อซูมั่วเยี่ยเข้ามา ภาพแรกที่เขาเห็นคือสีหน้าซีดเซียวของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงขมวดคิ้ว “ช่วงนี้พักผ่อนไม่พอหรือ สีหน้าถึงซีดเซียวเช่นนี้
“หรือว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร”
ซูเหลียนอวิ้นอ้าปากตั้งท่าจะพูดว่าตนไม่เป็นไร ทว่าหลังจากเปิดปากขึ้นแล้ว นางกลับพบว่า สำหรับนางตอนนี้คำว่าไม่เป็นไรนั้นคล้ายเป็นคำที่หนักหนาราวพันชั่ง ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถพูดสามคำนั้นออกมาอย่างขอไปทีได้
“ดูท่าคงจะมีเรื่องเข้าจริงๆ” ซูมั่วเยี่ยเริ่มร้อนรน “เกี่ยวกับองค์หญิงเยียลี่ว์นั่นหรือไม่ นางพูดอะไรกับเจ้ากันแน่!” เขาได้ยินคนรับใช้เล่าให้ฟังแล้วว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ องค์หญิงเยียลี่ว์ถึงอยากได้มาที่จวนของพวกเขา แค่มาที่จวนยังไม่เท่าไหร่แต่นี่ยังอยากจะคุยกับอวิ้นเอ๋อร์ตามลำพังอีก
บทสนทนาที่คุยกันย่อมไม่มีผู้อื่นรู้ แต่เมื่อพูดคุยกันจบ สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไร พวกเขาทุกคนล้วนเห็นกันทั้งนั้น
ตอนนั้นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นซีดเผือดจนแทบไม่เหลือเลือดฝาดบนหน้า เพียงดูก็รู้ว่านางได้เจอเรื่องบางอย่างเข้าให้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ซูมั่วเยี่ยตกใจจนต้องรีบกลับมาที่จวนทันที ตอนนี้เมื่อได้เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเข้าจริง…ก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดไว้ คำพูดที่คนเหล่านั้นพูดกันไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพี่…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วถอนใจ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงองค์นั้น สาเหตุทั้งหมดเกิดจากร่างกายของข้าเอง…ท่านพี่วางใจเถิด ข้าไม่เป็นไร”
“ได้” ซูมั่วเยี่ยพยายามปิดบังความกังวลใจอย่างมากที่อยู่ในแววตาของตัวเอง “แต่หากน้องหญิงมีเรื่องราวอะไรจำไว้ว่าห้ามเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวอย่างเด็ดขาด! พี่อยู่เคียงข้างเจ้าตลอด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นองค์หญิงหรือจวิ้นจู่หรือใครก็ตาม ในใจของพี่ไม่มีใครสำคัญเท่าเจ้า”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับมา ไม่นานนักรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ น้องเข้าใจแล้ว”
“อย่างนั้นน้องหญิงพักผ่อนให้มากๆ เถิด หากเจ้ามีอะไรที่อยากกินบอกพี่คำเดียวก็พอ” ซูมั่วเยี่ยเดิมทีก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องการเลือกใช้คำพูดอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนว่าก้นของตัวเองเปรียบเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟที่ไม่สามารถทนนั่งต่อไปได้อีก
เนื่องจากตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! ถึงได้ทำให้น้องสาวสุดที่รักของเขาเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งคืน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาไม่มีทางออมมือให้อย่างเด็ดขาด…
“ท่านพี่เดินระวังด้วยเจ้าค่ะ”
“อือ น้องหญิงไม่ต้องส่งพี่หรอก นอนพักผ่อนต่อเถิด”
……
“ท่านแม่?”
อันเพ่ยอิงกำลังมองดอกไม้เหล่านั้นที่นางเป็นคนปลูกอย่างตั้งใจ ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีผู้ใดอยู่ด้านหลัง
“เยี่ยเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงอุทานคำหนึ่ง “ทำไมเดินมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง! เดินมาถึงด้านหลังแล้วถึงจะส่งเสียง! เจ้าตั้งใจทำให้แม่ตกใจใช่หรือไม่!”
“ท่านแม่!” ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยไม่มีอารมณ์ฟังอันเพ่ยอิงบ่นอะไรใดๆ จึงรีบพูดเข้าประเด็นว่า “ท่านแม่ขอรับ วันนี้องค์หญิงผู้นั้นคุยอะไรกับอวิ้นเอ๋อร์”
“เหตุใดเจ้าถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา?” อันเพ่ยอิงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าข้องใจ
เพราะคนรับใช้ที่นี่มิใช่พวกปากมากเหมือนกันเสียทั้งหมด ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ไม่มีใครนำเรื่องนี้มารายงานอันเพ่ยอิง เพราะว่า…หากเจ้านายอยากรู้เรื่อง เจ้าค่อยเริ่มรายงานก็ได้
หากเจ้านายไม่ได้ถามเล่า? ก็ต้องปิดปากให้สนิทไว้ก่อน! เพราะหากคุณหนูใหญ่แค่ไม่สบายล่ะ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีการไล่ตามสืบดูแล้วจนรู้ว่าอาการปากมากของพวกตนทำให้เรื่องบานปลายสุดท้ายพวกเขาก็จะมีความผิด
“อวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้บอกแม่ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ตอนนั้นองค์หญิงผู้นั้นขอไปคุยกันที่ห้องของอวิ้นเอ๋อร์ แม่รู้ดีว่าอวิ้นเอ๋อร์คงไม่ชอบใจ แม่เลยบอกว่าแม่จะเป็นฝ่ายออกไปเอง พวกนางจึงคุยกันตามลำพังเพียงสองคนที่นี่”
“หลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันเสร็จ อวิ้นเอ๋อร์จึงมาหาแม่ที่นี่ แม่เองก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ทำไมหรือ คงมิได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”
ซูมั่วเยี่ยเม้มปาก เขาไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้กับอันเพ่ยอิงอย่างไรดี เพราะจากนิสัยของอันเพ่ยอิงแล้ว…หากรู้ว่าสภาพของอวิ้นเอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไร นางคงจะไม่ปล่อยเยียลี่ว์เยียนแน่นอน อีกอย่างคงจะรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากเพราะตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดูเหมือนว่า…จะมีความเกี่ยวข้องกับนางด้วย
“ไม่มีอะไร…” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ลูกแค่อยากรู้เท่านั้น หากเอ่ยตามเหตุตามผลแล้วพวกเราเพิ่งจะเคยเจอองค์หญิงผู้นั้นเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน เหตุใดนางถึงต้องอยากพูดคุยกับอวิ้นเอ๋อร์ด้วย เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยวางใจนัก”
“ตอนที่ลูกไปหาอวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์หลับอยู่ ลูกเลยกลับออกมาโดยที่ไม่ได้ปลุกนาง และมาขอร้องท่านแม่ที่นี่ โดยลูกเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าท่านแม่ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน”
“หากอวิ้นเอ๋อร์อยากพูดก็คงจะพูดกับพวกเราไปแล้ว” อันเพ่ยอิงยื่นมือออกไปนวดตรงหว่างคิ้วของซูมั่วเยี่ยแล้วยิ้มบางๆ ให้ “มิต้องขมวดคิ้วแล้ว ดูหน้าเจ้าสิย่นซะจนไม่น่าดูแล้ว! เจ้ากับน้องสาวของเจ้าเหมือนกันไม่มีผิด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มักจะเก็บงำเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว หากคนรอบข้างบังคับให้เจ้าพูดพวกเจ้าก็จะยิ่งไม่พูด”
“ดังนั้นตอนนี้ เมื่ออวิ้นเอ๋อร์ไม่ยินดีที่จะเป็นฝ่ายพูดกับพวกเราก่อน…พวกเราก็อย่าบังคับนางอีกเลย ให้นางทบทวนก่อน หลังจากที่นางทบทวนทุกอย่างดีแล้ว แม่เชื่อว่าอวิ้นเอ๋อร์จะต้องเอ่ยปากเรื่องนี้กับพวกเราเอง”
“ขอรับ” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว อย่างนั้นลูกไม่วุ่นวายท่านแม่แล้ว ลูกขอตัวก่อน”
“กลับเถิด” อันเพ่ยอิงมองซูมั่วเยี่ยที่สุดท้ายเลิกขมวดคิ้วและยิ้มออกมาได้ “ทว่าช่วงนี้ร่างกายของอวิ้นเอ๋อร์ไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากเจ้าไปหาน้องอีกอย่าลืมนำของบำรุงร่างกายไปให้ด้วย แล้วกำชับน้องให้น้องกินให้หมด”
“ขอรับ ลูกเข้าใจแล้ว”
_
ซูมั่วเยี่ยเดินกลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเองแล้วผิวปากด้วยเสียงดังพร้อมเอ่ยว่า “หลานเย่ว์มหาข้าหน่อย”
“ขอรับ” ในห้องมีเสียงเบาๆ ดังขึ้น แต่เพียงชั่วครู่ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“คุณชายใหญ่เรียกข้าหรือ” หลานเย่ว์มองไปยังซูมั่วเยี่ยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือพลางใช้มือนวดขมับตัวเอง ตอนนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี เพราะการที่ซูมั่วเยี่ยเรียกเขามาจะมีเรื่องอะไรได้อีก? ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับซูเหลียนอวิ้น
ทว่าเรื่องราวของซูเหลียนอวิ้น…หลานเย่ว์ในตอนนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี หรือว่าจะเริ่มจากตรงไหน…
“ช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนูใหญ่…ก็ดีขอรับ” หลานเย่ว์พิจารณาครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเลือกใช้คำนี้ เพราะหากไม่คำนึงสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนกลับมาในตอนเช้าวันนี้ ช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นถือว่ามีท่าทางไม่เลวเลยทีเดียว