ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 166 เต้นรำ
ดังนั้นการเดินทางมาเยือนเมืองต้าชั่วครั้งนี้ไม่ได้เพียงต้องการที่จะจับเยียลี่ว์เยียนแต่งงานเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างสองเมืองเท่านั้นแต่อีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดของเยียลี่ว์เยี่ยนที่เดินทางมาต้าชั่วอย่างยากลำบากนั้นก็คือการสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตของต้วนเฉินเซวียน
เนื่องจาก…แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะจบไปแล้วหลายปี แต่คนที่กล้าทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนขาดทุนนั้น สำหรับเขาแล้วคงไม่ผิดอะไรหากเขาจะจดจำไปตลอด อีกอย่างหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาอยู่กันคนละเมืองดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสลงมือแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อนึกถึงตรงนี้สายตาของเยียลี่ว์เยี่ยนก็ปรากฏแววแห่งความดุร้ายเคลื่อนผ่านคราวนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะต้องทำให้ต้วนเฉินเซวียนผู้นี้ได้เจ็บตัวเสียบ้าง
……
“น้องหญิง ช่วงนี้สีหน้าของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นกำลังฝึกวิชาต่อสู้อยู่เพียงลำพังในลานบ้าน”แบบนี้ค่อยดูดีหน่อย เริ่มอ้วนขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นสตรีต้องมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะน่ารัก”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เขาได้ไปสืบข่าวมาแล้ว แม้ว่าเรื่องราวบางอย่างจะเป็นความลับและถูกลบร่องรอยออกไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยที่พอหลงเหลือให้ตามสืบได้อยู่บ้าง อีกอย่างในวันนั้นหลิวจือนำของพวกนั้นมาถึงจวนตระกูลซูอย่างอุกอาจ เรื่องนี้ต่อให้คนนอกไม่รู้แต่คนในจวนซู…ไม่มีทางที่จะไม่มีผู้ใดไม่รู้
เมื่อนึกถึงหน้าต้วนเฉินเซวียนขึ้นมา มือของซูมั่วเยี่ยก็ค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น
น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาเพิ่งจะมีอายุได้เท่าไหร่เองเป็นหญิงสาวที่เพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นมาหมาดๆ เท่านั้น! แต่กลับมีคนไม่กลัวตายกล้ามาจีบนางแล้วหรืออีกอย่างตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี และต่อให้นางอายุยี่สิบห้าปี ในสายตาของซูมั่วเยี่ยนางก็ยังคงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบที่ชอบกอดเขาเพื่อออเซาะออดอ้อนเท่านั้น
ดังนั้นหากผู้ใดต้องการจะสู่ขอน้องสาวของเขา? ก็คงต้องถามความเห็นของเขาก่อนกระมัง
แน่นอนว่าการมอบของขวัญให้นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะคงแค่อยากจะเอาใจพวกตนและน้องหญิงเท่านั้น เรื่องนี้ซูมั่วเยี่ยพอเข้าใจได้ เพราะน้องสาวของเขาดีขนาดนี้ ย่อมต้องมีคนมากหน้าหลายตามาชอบอย่างแน่นอน!
แต่ต้วนเฉินเซวียนเพิ่งจะถูกน้องสาวของตนปฏิเสธไปแท้ๆ ยังไม่ทันจะพ้นหนึ่งเดือนเลยกระมัง? เขากลับหาคนใหม่มาแทนที่แล้วแถมยังให้คนใหม่มาตบหน้าพวกเราถึงที่จวนด้วย!
นี่ถือว่ารังแกกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!
เมื่อเขานึกถึงสีหน้าท่าทางอันซูบเซียวของซูเหลียนอวิ้นในวันนั้น ซูมั่วเยี่ยแทบอยากจะยกดาบไปฟันต้วนเฉินเซวียนเสียให้ได้! แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว จนถึงตอนนี้น้องสาวของเขาเองยังคงเก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ในใจและไม่ยอมบอกเล่าให้พวกเขาฟัง
คงจะเป็นเพราะน้องหญิงไม่ต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาซูมั่วเยี่ยจึงต้องสงบอารมณ์ของตัวเองอยู่ในห้องหนังสือของเขาตามลำพังอยู่หลายวัน ถึงจะระงับความพุ่งพล่านนั้นลงได้จากนั้นจึงรีบมาเยี่ยมน้องสาวของตนทันที
ยังดีที่ตอนนี้น้องสาวของเขาอาการดีขึ้นแล้ว หากนางยังคงมีสีหน้าเช่นเดียวกับวันนั้นอยู่อีก ซูมั่วเยี่ยคิดว่าเขาคงทนไม่ได้อีก!
“ท่านพี่ว่าน้องอ้วนหรือ! ” เดิมทีซูเหลียนอวิ้นไม่อยากหยุดฝึกกลางคันเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินซูมั่วเยี่ยพูดขึ้นมาว่าตัวเองอ้วนขึ้นจิตใจของนางพลันว้าวุ่นขึ้นแล้วเอามือลูบคลำที่ใบหน้าของตัวเอง “ท่านพี่ น้องอ้วนขึ้นมากหรือไม่เห็นชัดเลยหรือเจ้าคะแม้แต่ท่านพี่ก็ยังมองออกเลยหรือ! “
โธ่สวรรค์! ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดเรื่อง…นางเลยระบายอารมณ์ไปกับการกิน แต่นางกินมากกว่าเดิมไม่เยอะเท่าไหร่นัก…นั่นจะทำให้นางอ้วนขึ้นเลยรึ!
อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า! เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ในวังมีงานเลี้ยงแล้ว…นางจะต้องเจอกับต้วนเฉินเซวียนและองค์หญิงเยียลี่ว์เยียนอะไรนั่นแล้ว! ถ้าหาก ถ้าหากนางไปร่วมงานด้วยสารรูปที่อวบอ้วนเช่นนี้…
ช่างมันเถิด! นางไม่อยากไปแล้ว! แน่นอนว่าหากยังยืนยันว่าจะไปอยู่ล่ะก็…ก็น่าจะยังพอมีวิธี ภายในระยะเวลาที่เหลือไม่กี่วันนี้ นางจะต้องรีบลดความอ้วนลงให้ได้นี่ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งเช่นกัน!
แต่เวลาจะอ้วนขึ้นนั้นไม่ยาก ตอนทำให้ผอมต่างหากที่ยาก! ทำอย่างไรดี…!
“ไม่ใช่ๆ! ” ซูมั่วเยี่ยรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อเขาเห็นสายตากระวนกระวายของน้องหญิงซูมั่วเยี่ยก็รู้ตัวแล้วว่าตนคงพูดอะไรผิดไป เนื่องจากน้องหญิงเป็นสตรี ดูเหมือนว่าสตรีทุกคนจะให้ความสำคัญกับรูปร่างของตัวเองเป็นอย่างมาก!
“รูปร่างของน้องหญิงตอนนี้ไม่ถือว่าอ้วนเลย! ดีมากอยู่แล้ว! ” ซูมั่วเยี่ยเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วแกะมือที่กำลังลูบคลำใบหน้าตัวเองของน้องสาวให้วางลง”ตอนนี้น้องหญิงดูดีมากอยู่แล้วแก้มนุ่มลื่นแดงระเรื่อ เวลาที่สวยที่สุดของเจ้าคือตอนยิ้ม” เวลาที่นางสีหน้าซีดเซียวแม้ว่านางจะผอมก็จริง แต่ความผอมนั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ!
“ท่านพี่ปลอบคนเก่งยิ่งนัก…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้า น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเศร้าใจ “อีกไม่นานน้องต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่นแล้ว…แต่สภาพน้องตอนนี้ จะให้ไปเพื่ออะไรเล่า! อีกอย่างชุดที่น้องสั่งตัดไปจะยังใส่ได้อยู่หรือ! ” ตอนที่นางลูบหน้าของตัวเองเมื่อครู่นี้ เมื่อลองย้อนนึกเปรียบเทียบดูแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าแก้มของนาง…คล้ายว่าจะกลมขึ้นมาหน่อยหนึ่ง!
“หากน้องหญิงไม่เต็มใจที่จะไปก็ไม่ต้องไป” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นท่าทางเศร้าสลดใจของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงเริ่มกระแอมลำคอ จากนั้นจึงให้คำแนะนำต่อ “ที่ผ่านมางานเลี้ยงในวังถือเป็นเรื่องน่าเบื่อ หากน้องหญิงไม่เต็มใจที่จะไป พอถึงวันงานน้องหญิงก็ทำเป็นป่วยซะก็สิ้นเรื่อง? ” เพราะที่งานเลี้ยงนั้นนางจะต้องพบต้วนเฉินเซวียนกับองค์หญิงเยียลี่ว์นั่นอย่างแน่นอน! เขาไม่อยากให้น้องสาวของตนต้องไปเห็นภาพบาดตาบาดใจและนึกย้อนถึงเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นอีก
“ท่านพี่น้องเพียงพลั้งปากพูดไปก็เท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามาทางซูมั่วเยี่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างงานเลี้ยงครั้งนี้ น้องได้ยินท่านแม่บอกว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับคนจากเมืองเยียลี่ว์? งานใหญ่ขนาดนี้…หากน้องป่วยและไม่ยอมเข้าร่วมงาน นั่นคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนั้นคนทุกคนจะต้องมาเข้าร่วม หากขาดน้องไปเพียงคนเดียว…คงจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดไปหน่อย”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้ารับแสงแล้วค่อยๆ หลับตาลงเบาๆ หากนางไม่ไปร่วมงาน นั่นไม่เท่ากับเป็นการยอมรับว่าตัวเองรับการโจมตีของเยียลี่ว์เยียนไม่ไหวจนท้อถอยไปเองหรอกหรือ
แต่การยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่นิสัยของซูเหลียนอวิ้นตลอดมาคนอย่างซูเหลียนอวิ้นหากไม่สู้หัวชนฝาก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ!
ซูเหลียนอวิ้นลืมตาขึ้นแววตาของนางปรากฏความโมโห เยียลี่ว์เยียนอยากเห็นนางเป็นตัวตลกมิใช่หรือถึงเวลานั้นก็ลองดูแล้วกันว่าใครกันแน่ที่จะกลายเป็นตัวตลก!
การมาเยี่ยมเยียนทางการฑูตระหว่างสองเมืองเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องเลือกคนของเมืองตัวเองมาทำการประลองกันไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าการประลองความสามารถจะเป็นอะไร ก็ต้องประลองเพื่อหาคนแพ้ชนะ เพื่อแบ่งแยกว่าใครเหนือกว่าใคร
วันนั้นที่เยียลี่ว์เยียนมาที่จวนของนาง ซูเหลียนอวิ้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนอย่างเยียลี่ว์เยียนเปรียบเสมือนดอกนกยูงที่อยากจะแสดงความสามารถของตัวเองทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้ภาพความโดดเด่นของตนเป็นที่สนใจของทุกคนถึงจะสมใจของนาง
ดังนั้นงานเลี้ยงในวังครั้งนี้…หากไม่มีเยียลี่ว์เยียนคงจะเป็นไปไม่ได้! อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นก็พอจะมีความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้างจากเมื่อชาติก่อน แม้ว่าตอนนั้นตนจะไม่ค่อยใส่ใจองค์หญิงเยียลี่ว์เท่าไหร่นักแต่ตนก็ยังพอจำได้ว่าวันนั้นเยียลี่ว์เยียนนำการเต้นรำชนิดหนึ่งมาใช้เป็นการประลอง?
ก็แค่เต้นรำเองมิใช่รึซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้ม ตัวนางเองก็ไม่ค่อยได้ขยับแข้งขยับขามานานแล้วเช่นกัน!