ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 171 ถ่อมตัว
“เป็นอย่างไรบ้างเต้นดีเลยใช่ไหมเล่า” เมื่อการเต้นรำสิ้นสุด ซูเหลียนอวิ้นยิ้มเย้าแหย่หลินเหวินเสี่ยวที่โมโหจนแก้มกระตุกตั้งแต่ตอนที่เยียลี่ว์เยียนเริ่มเต้น
“เจ้า! ” หลินเหวินเสี่ยวตีไปยังมือที่กำลังเกาะแกะอยู่ตรงเอวของตนแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีกระจิตกระใจยิ้มได้อีกหรือ! พวกเราใกล้จะ…เหลียนอวิ้นเจ้าช่างน่าโมโหยิ่ง! “
“ใครบอกว่าพวกเราชาวต้าชั่วจะแพ้กันเล่า” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเยาะ “พวกเราแข่งกันอีกสักสนามหนึ่งก็ได้นี่”
“แข่งอีกสนาม? แต่…” หลินเหวินเสี่ยวฟังความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นออก ตอนนั้นเองนางจึงเริ่มเกิดสนใจขึ้นมา “แต่เมื่อครู่นางรำคนนั้นคงกลับมาเต้นอีกไม่ได้แล้วล้มลงแรงขนาดนั้นอีกอย่างนางยังเป็นคนสำคัญของการแสดง หากขาดนางไปคนหนึ่ง คนผู้อื่นก็คงทำได้เพียงเป็นตัวประกอบเท่านั้น! “
“เปลี่ยนคนเต้นก็ได้มิใช่รึ”
“อย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นผู้ใด”
“เปลี่ยนเป็นข้าดีหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะคิกคักพลางชี้ปลายนิ้วมายังตัวเอง “เจ้าว่า ข้าเป็นอย่างไร”
“เหลียนอวิ้นเจ้าเต้นรำเป็นหรือ” หลินเหวินเสี่ยวตกตะลึง “ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย! “
ทว่าเพียงครู่เดียวหลินเหวินเสี่ยวก็เริ่มรับความจริงในข้อนี้ได้ “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจ เพราะตอนแรกพวกเราทุกคนก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเล่นหมากล้อมเป็นแถมเจ้ายังเล่นได้ดีเสียขนาดนั้น! ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอกว่าเจ้าเต้นรำเป็น…? ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้! “
“ข้าเต้นได้นิดหน่อยเท่านั้น…” ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบจมูก นางอยากจะขอร้องว่าอย่าพูดถึงการชนะหมากล้อมโดยบังเอิญของนางในวันนั้นอีกได้หรือไม่! เพราะนางบังเอิญชนะจริงๆ! ตอนนี้นางกลัวอย่างเดียวว่าต่อไปจะมีคนมาขอประลองหมากล้อมอีก…เพราะความสามารถเพียงผิวเผินของนางคงแข่งชนะได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“งั้นก็ช่างมันเถิด” หลินเหวินเสี่ยวกรอกตา “ข้าจะคิดว่าเจ้าเต้นรำได้ดีมากก็แล้วกัน! แต่หากตัวเจ้าไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น พวกเราก็คงต้องอดทนไว้ก่อน อย่าไปออกหน้าอะไรเลย! ” เพราะการร่ายรำของเยียลี่ว์เยียนเมื่อครู่นี้ทุกคนล้วนประจักษ์แก่สายตาแล้ว นางร่ายรำที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามคล่องแคล่วเช่นนั้นหากมีผู้ใดยังจะอยากจะแข่งกับนางอีกมีแต่จะทำให้ตนขายขี้หน้าเปล่า!
“ข้าลองหาวิธีการใหม่ๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว เจ้าวางใจได้ข้ามิเคยทำอะไรโดยไม่เตรียมตัว! “ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นรู้มาก่อนอยู่แล้วว่าการร่ายรำของเยียลี่ว์เยียนในวันนี้เป็นระบำนกยูงอย่างไรเล่า! เมื่อชาติก่อนนางก็เต้นระบำนี้เพราะเป็นระบำที่นางร่ายรำได้ดีที่สุด!
ทว่าการแสดงระบำนกยูงของเยียลี่ว์เยียนโดยหลักแล้วเป็นการแสดงถึงความอ่อนช้อยและสวยงามของร่างกายซึ่งเป็นการแสดงที่ขายจุดเด่นเพียงสองอย่างนี้ส่วนด้านอื่นๆ ของการแสดงนั้น…เยียลี่ว์เยียนยังทำได้ไม่ดีนัก
ดังนั้นการร่ายรำที่ซูเหลียนอวิ้นเตรียมไว้เรียกได้ว่าห่างไกลจากของเยียลี่ว์เยียนมาก ไม่มีความอ่อนโยนอ่อนช้อยใดๆ แม้แต่น้อยเพราะนางไม่อยากแสดงในสิ่งที่เยียลี่ว์เยียนชำนาญ! ดังนั้นสิ่งที่นางเตรียมเอาไว้ก็คือระบำดาบ
ความเป็นเอกลักษณ์ของระบำดาบคือความสง่างามองอาจ หากบุรุษผู้ใดแสดงออกมาได้ไม่ดีก็จะถูกวิจารณ์ได้ว่าไม่มีความห้าวหาญมากพอ ทว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นสตรี นางจึงสามารถใช้เหตุผลนี้อ้างได้หากจะเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของร่างกายกันขึ้นมาจริงๆ
อีกอย่างเนื่องจากนางเป็นสตรีดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการระบำดาบของนางจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าและนี่ก็เป็นข้อดีอีกด้วยหยินหยางรวมเข้าด้วยกันเกิดจึงจะเกิดเป็นความแปลกใหม่ขึ้นมา
แต่อย่างไรนางก็ไม่อยากใช้ไม้แข็งชนกับไม้แข็งนางหวังเพียงว่าการแสดงนี้จะสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกตระการตาได้บ้างก็พอแล้ว เพราะอะไรที่อ่อนหวานนุ่มนวลแม้ว่าจะดี แต่ก็อาจจะไม่มีสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดผู้ชมได้
“เหลียนอวิ้นเจ้าวางแผนไว้แล้วหรือไม่ว่าจะปรากฏตัวอย่างไรจะให้ข้าช่วยเจ้าก็ได้นะ! ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างได้ใจ “ถือเป็นการโยนอิฐเพื่อแลกหยก[1]อย่างไรเล่าเมื่อครู่นี้องค์ชายเยียลี่ว์อะไรนั่นพูดอะไรไปบ้างข้าก็จะเป็นหน้าม้าให้เจ้าเช่นนั้น! ดูซิว่าหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะสีหน้าร่าเริงได้ใจของเขาจะไม่แหกเลยรึ! “
“อือๆ ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เพราะนางเองก็คิดเช่นนั้น! เพราะหากให้นางเสนอตัวเองว่าอยากจะประลองกับเยียลี่ว์เยียนล่ะก็…ถึงตายอย่างไรนางคงไม่สามารถพูดคำพูดเหล่านั้นออกไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนมากมายเช่นนั้น!
ดังนั้นสิ่งที่นางขาดในตอนนี้ก็คือการที่มีคนเปิดโอกาสให้นาง! และหลินเหวินเสี่ยวเป็นฝ่ายเต็มใจที่จะยื่นโอกาสนั้นให้ตน? นี่ทำให้นางสมความปรารถนายิ่งนัก!
“เยียนเอ๋อร์แสดงเสร็จแล้วหรือ” เยียลี่ว์เยี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เต้นได้ไม่เลวเลย”
เต้นได้ไม่เลว…คำสั้นๆ สี่คำนี้แม้ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีกหลังจากนั้นและไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำสี่คำนี้คล้ายกำลังตบอย่างแรงลงไปบนใบหน้าของผู้ชม
ที่ทุกคนไม่เอ่ยถึงประเด็นเมื่อครู่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่าลืม แต่ทุกคนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรค่าต่อการพูดถึง
“ที่ไหนกันเล่าเพคะท่านพี่” เยียลี่ว์เยียนนั่งบิดเขินอายอยู่บนเก้าอี้แล้วเอ่ยออกมาพลางก้มหน้า “หากเมื่อครู่นี้พี่สาวพวกนั้นไม่ได้…เอ่อบางทีพวกนางคงกลัวว่าหากข้าแพ้แล้วข้าจะขายหน้ากระมังข้าคิดว่าพวกนางคงตั้งใจยอมถอยให้เยียนเอ๋อร์เท่านั้น”
“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณพวกนางที่อุตส่าห์คิดแทนพวกเรา” เยียลี่ว์เยี่ยนลุกขึ้นแล้วรินสุราหนึ่งจอก “ลี่หยวนตี้ น้องสาวกระหม่อมดื้อรั้น แต่แผ่นดินต้าชั่วกลับถ้อยทีถ้อยอาศัยกับพวกเราเช่นนี้ตลอดมา ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก” เมื่อเอ่ยจบ เยียลี่ว์เยี่ยนก็กระดกสุราชั้นยอดในมือของตัวเองลงไปรวดเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้ลี่หยวนตี้ได้ทันเอ่ยปาก
ตอนนี้สีพระพักตร์ของลี่หยวนตี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่กลับยังไม่ได้ตรัสอะไรออกมา เนื่องจาก…หากไม่ยอมรับว่าพวกตนเป็นฝ่ายยอมแพ้เองก็จะเท่ากับว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้?
ทว่าการแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาจึงไม่น่ากลัวนัก แต่เรื่องเสียชื่อนั้น แพ้แล้วยังโดนผู้อื่นทำให้ขายหน้าเช่นนี้! แถมยังเป็นเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเช่นนี้อีกที่เยาะเย้ย!
ตอนนี้ในอกของลี่หยวนตี้รู้สึกโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว เพราะหากตอนนี้คนที่พูดเป็นบิดาของเยียลี่ว์เยี่ยน คำพูดของเจ้าแผ่นดินเยียลี่ว์อาจทำให้ลี่หยวนตี้รู้สึกดีกว่านี้ เพราะจะดีจะร้ายอย่างไรก็ถือว่ามีศักดิ์และศรีเสมอกัน
แต่นี่เป็นเยียลี่ว์เยี่ยน? เป็นผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าและยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังค์ก็เท่านั้นถึงกับกล้าหยาบคายได้เช่นนี้เชียวหรือช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว!
“แน่นอนว่าพวกเรายอมให้” ในห้องโถง เสียงของหลินเหวินเสี่ยวดังก้องขึ้น
หลินเหวินเสี่ยวลุกขึ้นยืน หลังจากที่ยกจอกสุราคารวะลี่หยวนตี้แล้วจึงหันไปทางเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วเอ่ยว่า “การถ่อมตัวให้ถือเป็นวัฒนธรรมของชาวต้าชั่ว ดังนั้นเมื่อมีแขกมาจากแดนไกล พวกเราก็ต้องยั้งมือเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วหากทำให้แขกไม่พอใจและเสียหน้า พวกเราก็คงรู้สึก…ไม่สบายใจอย่างแน่นอน”
แม้ว่าลี่หยวนตี้จะทรงแปลกใจที่จู่ๆ หลินเหวินเสี่ยวลุกขึ้นแล้วกล่าวโพล่งออกมาเช่นนี้ ทว่าลึกๆ แล้วกลับมิได้โกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันกลับรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำไป!
เพราะว่าช่วงเวลาเนิ่นนานเมื่อครู่นี้ บรรดาขุนนางใหญ่ที่ชอบปากว่าตาขยิบและชอบโต้เถียงกันให้วุ่นวายจนทำให้เขาต้องปวดหัวทุกครั้งเวลาที่ต้องว่าราชการถึงตอนนี้กลับทำราวกับนัดกันไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แถมยังเอาแต่ก้มหัวจ้องพื้นอย่างกับพื้นจะมีดอกไม้งอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น!
“อ้อ? ถ่อมตัวรึ” เยียลี่ว์เยี่ยนมองไปยังใบหน้าแข็งข้อของหลินเหวินเสี่ยวด้วยความขบขัน “อันที่จริงไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้ เพราความจริงต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดใช่หรือไม่”
——
[1] ใช้สิ่งที่ตนไม่ถนัดแลกสิ่งที่ดีกว่ากลับมา