ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 183 มาเยี่ยมบ้าน
“น้ำเจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่หันกลับมาพร้อมน้ำที่รินมาเต็มแก้ว “คุณหนู เอาอีกไหมเจ้าคะ”
“ไม่เอาแล้วล่ะ” พอซูเหลียนอวิ้นดื่มน้ำหมดแก้วก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย “ข้าชักหิวแล้ว กินข้าวดีกว่า”
“อ้อบ่าวจะไปยกมาให้คุณหนูเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ! “
ซูเหลียนอวิ้นมองตามหลังหลีมู่ที่รีบวิ่งออกไปแล้วพยายามเบิกตาตัวเองให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้ตนเองรู้สึกตื่นตัวมากยิ่งขึ้น เพราะสมองของนางในตอนนี้ยังคงมึนงงราวกับยังแบ่งแยกโลกความจริงไม่ได้
หากพูดตามตรงหลังจากที่นางตื่นขึ้นเต็มตาแล้ว นางจำเรื่องราวในความฝันได้ไม่ปะติดปะต่อนัก แต่นางรู้สึกราวกับว่ามีความทรงจำเรื่องอื่นผสมอยู่ด้วย
ในความฝันคล้ายว่านางฝันเห็นตัวนางเองตอนเด็กและยังมีเรื่องราวบางเรื่องเมื่อชาติที่แล้วด้วย…? สรุปคือเรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียนทั้งสิ้น!
“คุณหนูใหญ่ มากินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”ตอนที่หลีมู่ยกกล่องอาหารเข้ามาก็เห็นซูเหลียนอวิ้นยังคงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งเหม่ออยู่บนเตียงเช่นเดียวกับตอนที่ตนเดินออกไป นางจึงเกิดความรู้สึกเป็นกังวล
“คุณหนูใหญ่ ไม่ต้องคิดแล้วเจ้าค่ะ เรื่องราวในความฝันพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง” คุณหนูคงฝันร้ายกระมังเฮ้อ อีกสักสองวันนางคงต้องไปรายงานปัญหานี้ให้ฮูหยินรับทราบเสียแล้ว เพราะการฝันร้ายบ่อยๆ ไม่ดีต่อร่างกายแถมยังส่งผลเสียไม่น้อยแม้ว่าคุณหนูใหญ่จะเกลียดการกินยาที่สุด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเกเรอีกต่อไป!
“ข้าไม่เป็นอะไร ข้าแค่…อาจจะยังงัวเงียอยู่” ซูเหลียนอวิ้นลุกพรวดขึ้นทันทีแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฝันร้ายเลย! “
ถูกต้อง นางมิได้ฝันร้ายและไม่ได้ป่วย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกินยา!
หลีมู่เอ่ยว่า “…อย่างไรคุณหนูก็กินข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลยแต่คุณหนูกลับรู้ทันเสียแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าระแวงแล้วจะเรียกว่าอะไรเฮ้อ!
“อ้อ…คุณหนูกินก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หลีมู่ส่ายหน้า “เรื่องของบ่าวมิได้เร่งด่วนอะไร” เป็นเรื่องไม่ด่วนแต่นางเก็บเรื่องนี้เอาไว้ตลอดทั้งบ่ายนี้เต็มๆ แล้ว! นางแทบจะทนอีกไม่ไหวแล้ว อึดอัดจะแย่! คุณหนูรีบกินแล้วให้นางได้พูดๆ ออกไปเสียที…
ซูเหลียนอวิ้นกินต่อไปอีกสองคำก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มกินต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะว่าจริงๆ แล้วในใจของนางเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกันว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! ดังนั้นความสนใจของนางในตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ที่อาหารอีกต่อไป
“เอาเถอะหลีมู่ เจ้ารีบพูดมาเถิด พูดให้จบข้าจะได้กินข้าวได้อย่างสบายใจ” ซูเหลียนอวิ้นวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้าขึ้น อันที่จริงหากเป็นข่าวร้ายที่จะทำให้นางกินข้าวไม่ลงนั่นก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย!
เพราะ…การกินน้อยไปสักมื้อหนึ่งก็ยิ่งทำให้อ้วนน้อยลงไปเท่านั้น?
“เอ่อ เอ่อ! คือเรื่อง เรื่องนั้น…”
“เรื่องไหน” ซูเหลียนอวิ้นเริ่มทนไม่ไหว “รีบพูดมาเถิด คุณหนูอย่างข้าทนรับได้ทุกเรื่อง แต่หากเจ้าไม่ยอมพูดสักทีคงทำให้ข้าร้อนใจจนคลั่งไปแน่! “
“คือว่าบ่ายวันนี้ คุณชายต้วน…มาอีกแล้ว…เขามาหาคุณหนูเจ้าค่ะ” หลีมู่ก้มหน้าพลางกล่าวประโยคนี้อย่างขาดตอนด้วยความตะกุกตะกักและสุดท้ายนางก็เอ่ยจบ
“มาอีกแล้ว? มาหาข้าทำไม” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตอนนี้เพียงนางได้ยินชื่อต้วนเฉินเซวียน นางก็รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมา ดังนั้นนางจึงยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองแล้วเอ่ยต่อ “แล้วอย่างไรต่อ”
พี่ชายของนางถึงกับปล่อยให้ต้วนเฉินเซวียนเข้ามาที่นี่เชียวหรือนี่…ต้วนเฉินเซวียนใช้เล่ห์เพทุบายอะไรกัน! คงมิได้ปีนกำแพงแล้วแอบย่องเข้ามากระมัง
“ในตอนแรกคุณชายใหญ่กะว่าจะสั่งให้คนเชิญคุณชายต้วนออกไปเจ้าค่ะ! ” หลีมู่รีบแก้ตัวแทนซูมั่วเยี่ย “แต่ฮูหยินห้ามเอาไว้เสียก่อน…”
ซูเหลียนอวิ้น “…? “
มารดาของนางเกลียดขี้หน้าต้วนเฉินเซวียนผู้นี้มากมิใช่หรือเหตุใดถึง…?
“แล้วตอนนี้…? เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ตอนนี้คุณชายต้วนยังคงอยู่ที่เรือนหน้ากับฮูหยินฮูหยินบอกว่าหากคุณหนูตื่นแล้วให้มาที่เรือนหน้าเจ้าค่ะ”
“ดียิ่ง” หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ซูเหลียอวิ้นจึงพยักหน้า “ท่านแม่ของข้าหลงคารมต้วนเฉินเซวียนเสียแล้ว! ” ถึงขนาด ถึงขนาดให้นางไปหาที่เรือนหน้าตอนที่นางตื่นแล้ว?!
นี่ผู้ที่กล่าวประโยคนี้ยังใช่มารดาของนางอยู่หรือไม่โดยปกติแล้วผู้เป็นแม่จะต้องเป็นห่วงสุขภาพของลูกสาวตัวเองในตอนที่ลูกสาวของตัวเองเพิ่งตื่นขึ้นมาว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือไม่! ถึงแม้ว่านางจะแค่หลับไปและไม่ได้เป็นลมก็ตาม
แต่ก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่ดี! เพราะเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้นางแค่เป็นระดู แต่อันเพ่ยอิงกลับใส่ใจนางมากถึงขั้นส่งคนมาส่งของบำรุงเลือดให้นางทุกวันราวกับว่านางเสียเลือดไปเพราะแขนขาด!
ทว่าตอนนี้กลับ…ช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกินตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม!
“อย่างนั้นคุณหนู…? ” หลีมู่เอ่ยปากถามลองเชิง “ตอนนี้คุณหนูจะไป หรือว่าจะ…? “
“แน่นอนว่าข้าจะอยู่ที่ห้องของข้า! ข้าตื่นแล้วหรือไม่น่ะหรือ? หลีมู่เจ้าก็คิดเสียว่าเมื่อครู่นี้ข้าละเมอก็แล้วกัน ละเมอขึ้นมากินข้าวอย่างไรเล่า” ไปก็บ้าแล้ว! ตอนนี้สมองของนางเหลวเป๋วราวแป้งเปียก! ไม่รู้จริงๆ ว่านางจะไปคุยอะไรกับต้วนฉินเซวียนได้
นั่นเป็นเพราะว่าคำสารภาพรักของต้วนเฉินเซวียนนั้น ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางหลังจากผ่านมาถึงสองชาติ! ดังนั้นหากอารมณ์ความรู้สึกจะสับสนอยู่บ้างก็ถูกต้องแล้ว…ดีใจ เสียใจ โกรธ ทุกอารมณ์รวมกัน…
แต่ถึงแม้ว่าสมองของนางจะกลายสภาพเป็นแป้งเปียกก้อนหนึ่งไปแล้วแต่เรื่องราวสำคัญเช่นนี้ ไม่ต้องใช้สมองคิดนางก็สามารถตัดสินใจได้ว่าตอนนี้นางไม่อยากพบหน้าต้วนเฉินเซวียนจริงๆ! หากถ่วงเวลาได้สักหน่อยก็ควรถ่วงเวลาออกไป! นางจะได้มีเวลาปรับอารมณ์ของตัวเองให้เป็นดังเดิมได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากนางพบหน้าเขาอีกแล้วหวั่นไหวจนถูกจูงจมูกไปตามที่เขาต้องการย่อมไม่ดีแน่!
“หลีมู่ เจ้าไปบอกผูหลิวให้ระวังตัวแล้วไปตามท่านพี่มาที่นี่หน่อย ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่านพี่” ในเมื่อพึ่งมารดาแท้ๆ ของตัวเองไม่ได้แล้ว ตอนนี้จึงเหลือเพียงท่านพี่ให้พึ่งเท่านั้น!