ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 198 หมั้นหมาย
หากซูปั๋วชวนสบายใจกับคำพูดของลี่หยวนตี้เมื่อครู่นี้ล่ะก็ ตอนนี้ใจของเขาเริ่มกลับมาเป็นกังวลอีกครั้งกับคำพูดนี้สองคำนี้
เพราะคำพูดที่ต่อจากคำว่าแต่ว่า ไม่เคยเป็นคำที่มีความหมายดีมาก่อน
“แต่…อะไรหรือ” ซูปั๋วชวนเอ่ยอย่างติดขัด “ฝ่าบาทมีข้อแม้อะไรหรือพะย่ะค่ะ”
“ขุนนางที่รัก เจ้าโปรดวางใจ” ลี่หยวนตี้ตรัสขึ้น “แต่ว่าข้าคิดว่าหากบอกปฏิเสธต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ จะเป็นการไม่ดีกระมัง เพราะอวิ้นเอ๋อร์ยังมิได้แต่งงานกับผู้ใดแล้วตั้งใจไม่แต่งกับเยียลี่ว์เยี่ยน ถึงตอนนั้นพวกเขาคงจะพูดว่าชาวต้าชั่วดูถูกพวกเขา”
“แล้วฝ่าบาททรงมีพระดำริเป็นอย่างไรพะย่ะค่ะ”
“ข้าคิดว่าควรให้อวิ้นเอ๋อร์หมั้นหมายเอาไว้ก่อน”
“หมั้น?” ซูปั๋วชวนเบิกตากว้าง “เรื่องนี้ เรื่องนี้กระหม่อมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยพะย่ะค่ะ”
ใช่แล้ว หมั้นก็ได้นี่นา! เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย
ต้องจัดการเรื่องตรงหน้านี้ให้ผ่านไปก่อน แล้วจากนั้นค่อย…การหมั้นหมายยังมิใช่แต่งงาน รอถึงตอนที่เยียลี่ว์เยี่ยนไปจากต้าชั่วแล้วแล้วค่อยถอนหมั้นก็ได้ แต่เรื่องนี้คล้ายว่ายังมีปัญหาบางอย่างอยู่กระมัง นั่นก็คือหากจะหมั้นก็ต้องหาคู่หมั้นให้ได้ก่อน
“ฝ่าบาททรงตรัสถูกต้องแล้ว แต่การหมั้นหมายนั้น…กระหม่อมขอกลับไปทบทวนเรื่องผู้ที่จะมาเป็นคู่หมั้นก่อนพะย่ะค่ะ” ซูปั๋วชวนเอ่ยปากพลางครุ่นคิด
เนื่องจากการเลือกคู่หมั้น อันที่จริงมิได้เลือกง่ายขนาดนั้น! เพราะพวกเขาถึงขั้นปฏิเสธองค์ชายผู้หนึ่งไป ไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายแล้วจะอยากแต่งงานกับผู้ใดเล่า ดังนั้นฐานะของคนผู้นี้จะต้องไม่ขี้เหล่จนเกินไปนัก
แต่หากฐานะไม่ขี้เหล่แล้วเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ดี เรื่องการถอนหมั้น…คงจะทำให้ชื่อเสียงของทั้งสองตระกูลไม่ดีไปด้วยกระมัง เพราะตระกูลใหญ่ตระกูลโตให้ความสำคัญกับเรื่องราวแบบนี้ที่สุด! อีกอย่างการลงมืออย่างเปิดเผยของเยียลี่ว์เยี่ยน อีกไม่นานหลายๆ ตระกูลคงค่อยๆ ทยอยรู้ข่าวนี้
อย่างนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่กล้าจะมาเป็นคู่หมั้นคงจะน้อยลงไปอีก นั่นเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวหนึ่งเรื่องมิสู้ลดเรื่องออกไปสักหนึ่งเรื่อง เรื่องวุ่นวายใดๆ ก็ตามในชีวิตหากตัดออกได้ก็ตัดออกไปเถิด นี่ถือเป็นสัจธรรมในชีวิตมนุษย์
“อันที่จริงแล้วข้ามีคนผู้หนึ่งมาเป็นตัวเลือกให้เจ้า เจ้าจะลองพิจารณาดูดีหรือไม่” ลี่หยวนตี้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงหน้าซูปั๋วชวน “ขุนนางที่รัก เจ้าว่าคุณชายต้วนเป็นอย่างไรบ้าง หากจะให้อวิ้นเอ๋อร์หมั้นหมายกับเขา”
“คุณชายต้วน?” ซูปั๋วชวนกลืนน้ำลายแล้วส่ายศีรษะ “เรื่องนี้กระหม่อนไม่เคยคิดถึงมาก่อน”
เพราะในหัวของเขาไม่เคยคิดถึงคนผู้นี้มาก่อนเลย
ก่อนอื่นอย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องราวหมางใจระหว่างอวิ้นเอ๋อร์กับคุณชายต้วนผู้นี้ เพราะแค่ด้วยตัวของคุณชายต้วนเอง เขาก็ไม่ไว้ใจอยู่แล้ว!
นั่นเป็นเพราะต้วนเฉินเซวียนเป็นคนไร้เหตุไร้ผล และมักชอบพูดจาเพ้อเจ้อเกินจริง หากเขาต้องใช้ชีวิตร่วมกับอวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์คงจะต้องเป็นคนที่ถูกรังแกอย่างแน่นอน แล้วจะยอมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไรเล่า
เมื่อลี่หยวนตี้เห็นว่าซูปั๋วชวนไม่รับคำก็ไม่รีบร้อน เขาเพียงกลับไปประทับบนเก้าอี้อีกครั้ง แล้วหยิบฎีกาขึ้นมาพลิกผ่านๆ ดู “อันที่จริงเจ้าก็ควรจะเข้าใจดีว่าช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ผู้ที่จะยินดีหมั้นหมายกับอวิ้นเอ๋อร์นั้นคงจะมีไม่มากนัก
“ดังนั้นการที่ข้าเสนอความคิดเช่นนี้ มิใช่เป็นการเสนอออกมาส่งๆ ฎีกาฉบับนี้คุณชายต้วนเป็นคนเขียนแล้วส่งมาให้ข้าเอง โดยหวังว่าข้าจะเป็นผู้สู่ขอคุณหนูซูให้ แต่ข้าก็รู้วีรกรรมหลายปีมานี้ของหนุ่มน้อยผู้นี้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้มิได้เอ่ยปากกับเจ้า
“แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน เยียลี่ว์เยี่ยนจะมาหาข้าเพื่อเอ่ยเรื่องแต่งงาน ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเริ่มรู้สึกละอายใจ เพราะหากข้าไม่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ เยียลี่ว์เยี่ยนคงจะไม่มีเหตุผลอะไรเอามาสู่ขอนางได้”
ซูปั๋วชวนฟังคำอธิบายของลี่หยวนตี้ด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้เขาเพียงรู้สึกว่าสมองของเขาไม่ทำงานเสียแล้ว เพราะพ่อหนุ่มน้อยต้วนเฉินเซวียนก็คิดอยากจะแต่งงานกับอวิ้นเอ๋อร์เช่นกันหรอกรึ
อย่างนั้นเขาควรดีใจใช่หรือไม่ หรือว่าควรจะโมโหดี เพราะต้วนเฉินเซวียนเคยทำเรื่องราวต่างๆเอาไว้กับอวิ้นเอ๋อร์จริง ดังนั้นหากเขาจะโมโหก็ถือว่าสมเหตุสมผล ทว่าการขอแต่งงานในคราวนี้ เขาควรจะดีใจใช่หรือไม่ ชีวิตคนเราไม่ราบรื่นไปเสียทั้งหมดจริงๆ!
“ทว่าการตัดสินใจทุกอย่างล้วนต้องให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเอง เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ข้าเองก็มิควรก้าวก่ายมากนัก” ลี่หยวนตี้กระแอม เขาคิดจะเติมเชื้อไฟต่อ “แต่เจ้าเองก็ควรรีบตัดสินใจโดยเร็ว! เพราะอีกไม่กี่วันแม่นางเยียลี่ว์เยียนก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว หากการแต่งงานเสร็จสิ้น เยียลี่ว์เยี่ยนคงจะมีเวลาและความพยายามมากขึ้นอีกกระมัง”
ซูปั๋วชวนเอ่ยว่า “…อืม ฝ่าบาททรงตรัสถูกแล้ว กระหม่อมจะกลับไปพิจารณาให้ดีพะย่ะค่ะ”
นี่เป็นการไล่ต้อนให้จนมุมสิท่า เขายังมีทางเลือกอื่นเหลืออีกหรือ
“เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ตอนนี้สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก เจ้าต้องรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี! หนทางมีสำหรับเจ้าเสมอ”
ซูปั๋วชวนแอบก่นด่าในใจ ถึงตอนนี้จะให้เขายังมีสีหน้าดีอยู่ได้อย่างไรเล่า คนที่จะแต่งงานไม่ใช่ลูกสาวของพระองค์สักหน่อย! คำพูดปลอบใจเช่นนี้ใครๆ ก็พูดได้
“กระหม่อมทราบแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา” ซูปั๋วชวนประสานมือคารวะ
“อืม ไปเถิด” ลี่หยวนตี้ทำท่าให้สัญญาณ
……
จวนตระกูลซู
“กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” คราวนี้ถึงตาอันเพ่ยอิงนั่งไม่ติดบ้างแล้ว “ฝ่าบาททรงว่าอย่างไรบ้าง”
“ฝ่าบาทมิได้ว่าอะไร” ซูปั๋วชวนเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเต็มทน “แต่ทรงให้คำแนะนำกับพวกเรา”
“คำแนะนำ?” อันเพ่ยอิงขมวดคิ้ว “คำแนะนำอะไร” ในใจของนางรู้สึกว่านี่ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ นางรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีอย่างแน่นอน! นี่เป็นสัญชาตญาณของสตรี!
“ฝ่าบาทตรัสว่าไม่มีวิธีรับมืออะไรอีก เพราะตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์เองก็…หากปฏิเสธไปตลอดเยียลี่ว์เยี่ยนคงจะหาว่าพวกเราดูถูกพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ มิเช่นนั้นแล้วทำไมถึงยอมให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานไม่ได้ อีกอย่างเขาเองก็ยอมยกตำแหน่งพระชายาให้ด้วย
“ฝ่าบาททรงแนะนำพวกเราว่า ตอนนี้ให้พวกเราหาคนมาเป็นคู่หมั้นให้กับอวิ้นเอ๋อร์เพื่อให้ผ่านสถานการณ์ตรงหน้าไปก่อน แล้วหลังจากนั้นก็รอให้เยียลี่ว์เยี่ยนกลับไปแล้วค่อยถอนหมั้นหรือว่าจะจัดการอย่างไรก็ถือว่าไม่สายจนเกินไปนัก”
อันเพ่ยอิงฟังจบเงียบๆ หลังจากนั้นคิ้วของนางจึงค่อยๆ คลายออก เพราะคำแนะนำนี้ หากฟังเผินๆ ดูแล้วก็ถือว่าเข้าท่าทีเดียว!
“นี่ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่ง” อันเพ่ยอิงเอ่ยอู้อี้ “อย่างนั้นทำไมท่านต้องขมวดคิ้วเช่นนี้ด้วยเล่า ข้านึกว่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะพูดอะไรไม่ดีกับท่านเสียอีก!”
“วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือตอนลงมือต่างหาก!” ซูปั๋วชวนทำหน้าขมขื่น “เจ้าคิดว่าช่วงเวลาเช่นนี้จะมีผู้ใดยอมเข้ามาในน้ำขุ่นนี้เล่า อีกอย่างต่อไปพวกเราจะมีชื่อเสียงติดตัวไปว่าเคยถอนหมั้น นี่คงจะทำให้ไม่มีผู้ใดเต็มใจร่วมมือด้วยกระมัง
“อืม จริงด้วย” อันเพ่ยอิงพยักหน้า ประเด็นนี้จะต้องพูดให้ชัดเจนแต่เนิ่นๆ เพราะหากเยียลี่ว์เยี่ยนกลับไปแล้ว แล้วคนผู้นั้นไม่ยอมถอนหมั้นจะทำอย่างไรเล่า อย่างนั้นก็ถือว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเสียหาย!