ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 199 ครั้งวัยเยาว์
“อันที่จริงครั้งนี้ฝ่าบาททรงแนะนำบุคคลผู้หนึ่งให้ข้าด้วย” เมื่อซูปั๋วชวนเห็นอันเพ่ยอิงขมวดคิ้วแน่นเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจจึงเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ผู้ใดกัน” อันเพ่ยอิงรีบเอ่ยถามต่อ เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดล้วนถือเป็นตัวเลือกของพวกเขาทั้งสิ้น
“คือคุณชายต้วนของจวนจิ้งอันโหวอย่างไรเล่า…” ซูปั๋วชวนเบะปาก “ฝ่าบาททรงตรัสว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านโหวต้วนได้มาเป็นตัวแทนสู่ขอให้ลูกชายของเขาแล้ว แต่ฝ่าบาททรงติดใจเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นกลัวว่าพวกเราจะคิดมากจึงเก็บฎีกานี้เอาไว้
“แต่ผลสุดท้าย ผู้ใดจะคิดเล่าว่าจะเกิดเรื่องของเยียลี่ว์เยี่ยนขึ้น รู้อย่างนี้มิสู้รับปากตระกูลต้วนไปตั้งแต่ตอนนั้นจะดีกว่า!” เพราะไม่ว่าจะอย่างไรต้วนเฉินเซวียนก็เป็นคนแผ่นดินเดียวกัน ไม่ว่าจะคิดกบฎอย่างไรก็ยังอยู่ในสายตาของเขา
“นี่…” เมื่อครู่นี้อันเพ่ยอิงได้ลืมชื่อของต้วนเฉินเซวียนไปแล้ว ตอนนี้เมื่อซูปั๋วชวนกล่าวเช่นนี้ขึ้นมานางจึงเกิดความคิดว่าต้วนเฉินเซวียนก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน!
เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีตำแหน่ง มีรูปร่างหน้าตาที่ดี ส่วนเรื่องความจริงใจนั้น…? เรื่องนี้คงต้องเดาไปก่อนในตอนนี้!
ทว่าคำพูดที่ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยกับนางในวันนั้น นางรับฟังและเริ่มรู้สึกซาบซึ้ง เพราะหากบอกว่าท่าทางของต้วนเฉินเซวียนในวันนั้นเป็นการแสดงแล้ว นั่นไม่ถือว่าแสดงสมจริงเกินไปหน่อยหรือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การแสดงนั้นคงไม่ใช่การแสดงเพื่อหวังจะฮุบสมบัติ เพราะเมื่อเทียบตระกูลของตัวเองกับจวนจิ้งอันโหวแล้ว…พวกเขาคงจะไม่มีแผนร้ายอะไรจริงๆ!
อีกอย่างวันนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนมาที่จวนซู อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้เพียงเอายามาให้ตนเท่านั้นแต่ยังพกของติดไม้ติดมือเล็กๆ น้อยๆ มาเพื่อเอาใจซูเหลียนอวิ้นด้วย แม้ว่าของพวกนั้นจะมิได้มีคุณค่าราคาแพงอะไร แต่หากดูจากความประณีตและความตั้งใจแล้วกลับน่าประทับใจมากทีเดียว แม้วันนั้นนางจะแอบของพวกนั้นเอาไว้ไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นรู้ แต่อันเพ่ยอิงได้เปิดดูของที่อยู่ข้างในหมดแล้ว
ของที่อยู่ด้านในมีหลายอย่าง ทั้งหมดล้วนเป็นแบบที่ซูเหลียนอวิ้นชอบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมองออกว่าต้วนเฉินเซวียนตั้งใจไม่น้อยกับเรื่องนี้
เพราะเงินพันชั่งก็ยากที่จะซื้อความตั้งใจได้
หากเขาเป็นคนที่รู้จักแต่ทุ่มเงินทองเพียงอย่างเดียว อันเพ่ยอิงกลับจะยิ่งดูถูกต้วนเฉินเซวียน เนื่องจากเรื่องทุ่มเงิน ผู้ใดก็ทำได้ทั้งนั้น?
อีกอย่างคำพูดที่ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยกับนางในวันนั้น….
เฮ้อ ช่างเถิดๆ นางเองก็เคยผ่านช่วงวัยสาวมาก่อน ใช่ว่านางจะเป็นคนที่มองเรื่องไม่ออกเสียที่ไหน
ในสายตาของนางแล้ว ผู้ที่อวิ้นเอ๋อร์จะแต่งงานด้วย นางไม่ขออะไรมากเพียงแค่ปฏิบัติดีกับนางก็พอ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่อวิ้นเอ๋อร์ชอบด้วย หากอวิ้นเอ๋อร์ไม่ชอบ พวกเขาก็จะไม่บีบบังคับให้ซูเหลียนอวิ้นฝืนแต่งงานอย่างเด็ดขาด
นั่นเป็นเพราะคนที่สตรีจะแต่งงานด้วยถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ครั้งที่สอง ดังนั้นอันเพ่ยอิงจึงคิดว่าจะลองให้โอกาสกับต้วนเฉินเซวียนดูอีกสักครั้ง
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าคุณชายต้วนก็ไม่เลวนะ” อันเพ่ยอิงเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “ลองให้โอกาสครั้งนี้ดูอีกครั้งเถิดว่าพอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วพวกเขาจะยังยินดีหมั้นอยู่หรือไม่ หากยินดีก็จะเป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย ทั้งสองตระกูลจะได้มาเจรจาตกลงกัน แต่หากไม่ยินดีก็คงต้องจบความสัมพันธ์นี้โดยที่ไม่มีฝ่ายใดเสียหายมิใช่หรือ”
“แต่…” ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ซูปั๋วชวนรู้สึกเหม็นขี้หน้าเขา! เป็นเพราะเรื่องราวตอนนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนทำกับลูกสาวสุดที่รักของตนเอาไว้!
“คนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง!” อันเพ่ยอิงกรอกตาใส่ซูปั๋วชวน “ตอนนั้นเจ้าเด็กต้วนไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่ท่านก็ควรให้โอกาสเขาได้แก้ตัวกันสักครั้งมิใช่หรือ ตอนนี้เขาก็แสดงความรู้สึกผิดออกมาแล้ว!
“อีกอย่าง ท่านไม่คิดถึงตัวเองบ้างเล่า ตอนนั้นหากข้าไม่ให้โอกาสท่านอีกครั้ง ท่านจะมีโอกาสยืนพูดอยู่ตรงหน้าข้าหรือไม่”
เมื่อถูกยกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาพูดกะทันหัน ซูปั๋วชวนก็เริ่มควบคุมสีหน้าตัวเองไม่อยู่ เนื่องจากอันเพ่ยอิงสามารถใช้เรื่องราวในตอนนั้นบ่นไปได้ตลอดชีวิตเพราะเป็นเรื่องที่น่าบ่นจริงๆ!
อันเพ่ยอิงในตอนนั้น แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีเลือดร้อนผู้ชอบทำอะไรตามใจและชอบออกจากเดินไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปเรื่อย แต่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกแล้วกลับเป็นคนที่เคร่งในกฎระเบียบและเปิดเผย ดังนั้นเวลาต้องพบกับคนอื่น อันเพ่ยอิงจะยังคงภาพลักษณ์ของหญิงตระกูลสูงเอาไว้ บางครั้งมีเพียงตอนที่อยู่กับเพื่อนสนิทหรือแม้แต่อยู่ในสถานการณ์ที่คุ้นเคยเท่านั้นที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา
ดังนั้นในตอนที่ตระกูลซูกับตระกูลอันเจรจาเรื่องแต่งงานกัน ซูปั๋วชวนนั้นรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก เพราะภรรยาที่เขาอยากแต่งงานด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ต้องการถึงขั้นเป็นคนใจนักเลงและสามารถติดตามเขาออกไปท่องตามยุทธภพได้ แต่ก็คงไม่เอาแบบอันเพ่ยอิงในตอนนั้นที่ถามคำตอบคำเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งเช่นนี้
นี่มันคนไร้จิตวิญญาณชัดๆ ! ซูปั๋วชวนถอนใจแรง
ดังนั้นถ้าพูดถึงเรื่องการแต่งงาน นับตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นอันเพ่งอิงในคราแรกเป็นต้นมา ความรู้สึกในใจของเขามีแต่ความคิดต่อต้านเท่านั้น!
ฝ่ายอันเพ่ยอิงเมื่อเห็นซูปั๋วชวนมีท่าทีรังเกียจนางเช่นนี้ นางกลับแอบพอใจ เพราะการจะให้นางแต่งงานโดยให้เห็นหน้าแต่เพียงอย่างเดียวทั้งๆ ที่ไม่รู้อย่างอื่นในตัวเขา ตัวนางเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน!
ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อันเพ่ยอิงก็สงบเสงี่ยมขึ้นมากหากเทียบกับในอดีต ไม่ชอบนางก็ดีเพราะนางเองก็ไม่ได้หวังอย่างนั้นอยู่แล้ว
ทว่าสถานการณ์ที่คนทั้งสองต่างมองอีกฝ่ายว่าเป็นคนแปลกหน้านั้นกลับคงอยู่ได้ไม่นานนัก
เพราะต่อให้ทั้งสองคนต่างไม่ถูกชะตากันเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วคนตัดสินใจก็ไม่ใช่พวกเขาสองคนอยู่ดี! แต่เป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงหมายความว่าโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้พบกันอีกนั้นมีไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่งที่ซูปั๋วชวนต้องมามอบของให้ตระกูลอันเพราะคำสั่งของมารดา ก่อนที่เขาจะกลับ ไม่รู้ว่าเทพเทวดาองค์ไหนดลใจให้เขาอยากเข้าไปเดินเล่นในบริเวณลานบ้านของอันเพ่ยอิง ผลสุดท้ายจึงทำให้เขาได้เห็นภาพเหตุการณ์หนึ่ง
ตอนนี้เมื่อลองย้อนคิดดูแล้ว ซูปั๋วชวนคิดว่านั่นคงเป็นรักแรกพบหรือไม่ก็เป็นชะตาที่ลิขิตเอาไว้แล้ว?
เขาเห็นภาพอันเพ่ยอิงนั่งเล่นอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ในบริเวณเรือนของนาง รอยยิ้มของนางนั้นสุกสว่างหาใดเปรียบ ขาทั้งสองแกว่งไกวอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังใช้สายตาซุกซนมองมายังเหล่าสาวรับใช้ที่กำลังวิ่งเต้นอย่างร้อนใจอยู่ด้านล่าง พวกนางร้อนใจแต่จนปัญญาที่จะลงมือทำอะไรได้
ในระยะเวลาสั้นๆ ตอนนั้นเองที่ทำให้ซูปั๋วชวนคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของอันเพ่ยอิงก็ได้? เขามีตาหามีแววไม่เสียแล้วถึงคิดว่าเพียงเห็นหน้าของนางคราเดียวแล้วจะเข้าใจนางทะลุปรุโปร่งได้
ซูปั๋วชวนยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานผู้ที่คนพบเขากลับไม่ใช่อันเพ่ยอิงแต่เป็นสาวใช้ที่กำลังรีบร้อนจะออกไปที่อื่น สุดท้ายตอนที่เขาถูกพบ ตอนนั้นซูปั๋วชวนกำลังยืนมองอย่างตกตะลึงอยู่ในภวังค์
อันเพ่ยอิงได้ยินเสียงร้องของสาวใช้จึงรีบหันหน้าไปมอง สายตาของนางจึงปะทะเข้ากับสายตาของซูปั๋วชวนเข้าอย่างจัง
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของคนทั้งสองแดงก่ำขึ้นพร้อมๆ กัน