ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 206 อดีต (เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากชาติที่แล้ว)
“ที่แท้แล้วนิสัยเช่นนี้ของเขามีมาตั้งแต่เด็ก…” ซูเหลียนอวิ้นบ่น
“ใช่” หรงซู่พยักหน้า “เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นเม้มปาก นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อ นางเพียงอยู่ในความคิดเงียบๆ เพราะด้วยเหตุผลเช่นนี้แล้ว
ปากกับใจไม่ตรงกันหรือ เช่นนั้น…ช่วงนี้ที่ต้วนเฉินเซวียนดีกับนางเช่นนี้ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาคือ…
“อวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่ถอนใจเบาๆ “ให้อาจารย์ช่วยเจ้าคิดดีหรือไม่”
“ช่วยคิด…? “
“ถูกต้อง เจ้ามิสงสัยหรือว่าเหตุใดต้วนเฉินเซวียนถึงรู้เรื่องราวในอดีตได้ อันที่จริงแล้วเจ้าก็ทำได้เช่นกัน”
“แต่ข้ารู้มาตั้งนานแล้วนี่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นบ่นพึมพำ “ข้ารู้เรื่องราวในอดีตพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว…ดังนั้นไม่ต้องก็ได้กระมัง”
“อวิ้นเอ๋อร์….” เสียงของหรงซู่ลากยาว เอ้อ? “
“เอาล่ะท่านอาจารย์ ท่านว่ามาได้เลย ข้าจะฟังท่านทุกอย่าง! ” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทางอดใจรอไม่ไหว เพราะน้ำเสียงเช่นนี้ของหรงซู่ หากนางกล้าปฏิเสธล่ะก็ หรงซู่อาจจะหาวิธีพิสดารบางอย่างมากลั่นแกล้งนางอีกก็เป็นได้
เพราะการกลั่นแกล้งลูกศิษย์ถือเป็นธรรมเนียมที่อาจารย์อย่างหรงซู่ยึดปฏิบัติตลอดมา?
“เข้ามาแล้วนอนลง” หรงซู่ชี้ไปยังเตียงไม้ไผ่ของตัวเอง “นอนเพียงแค่ตื่นเดียว จากนั้นเจ้าก็จะรู้ทุกอย่าง”
ซูเหลียนอวิ้นแอบกลืนน้ำลาย “ท่านอาจารย์ทำไมข้าจึงรู้สึก…ไม่ค่อยดีเท่าไหร่! ” ตอนนี้นางรู้สึกอยากจะหนีไปจากสภาพเช่นนี้แล้ว นางเพียงรู้สึกขึ้นมาว่าบางทีเรื่องราวพวกนั้นอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่นัก เพราะอย่างไรก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว!
ถึงอย่างไรปัจจุบันก็สำคัญที่สุด! ดังนั้น…
“อวิ้นเอ๋อร์ ถึงตอนนี้แล้วเจ้าจะยังขัดขืนอยู่อีกทำไม รีบนอนลงซะ อีกอย่างเจ้าอย่าลืมถอดรองเท้าด้วยล่ะ” หรงซู่ไม่ใส่ใจ ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการให้ซูเหลียนอวิ้นรู้เรื่องนี้
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นนอนลงบนเตียง สายตาของนางจ้องไปยังเพดานห้องแล้วเอามือทั้งสองประสานกันวางลงบนท้องพลางคาดเดาเรื่องต่างๆ อยู่ในใจ…นางจะหลับไปได้ตอนไหนกัน! เพราะไม่ใช่ว่าจะมีแค่หมอนแล้วจะหลับลง! ทุกเรื่องย่อมมีการเปลี่ยนแปลงก่อนใช่หรือไม่
“อวิ้นเอ๋อร์ มา ดื่มนี่ลงไปซะ” ผ่านไปครู่หนึ่งหรงซู่ก็เดินเข้ามาแล้วแล้วส่งแก้วที่อยู่ในมือให้ “หลับตาซะ แล้วดื่มรวดเดียวให้หมด”
ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นเพื่อรับแก้วแล้วก้มหน้ามอง “ท่านอาจารย์…ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้หยิบผิด นี่ใช่ยาพิษรึเปล่าเจ้าคะ…” ม่วงขนาดนี้เชียว! มันคือสีม่วงไม่ใช่สีดำ!
มียาที่สีเช่นนี้ด้วยหรือ นี่มันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยรึ!
“ข้าเติมชะเอมลงไปแล้ว ดังนั้นรสชาติที่ข้าปรุงในครานี้คงดีขึ้นกว่าเดิมหน่อยแล้ว” หรงซู่เลิกคิ้วพลางมองซูเหลียนอวิ้น “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารีบชิมมันเร็วเข้าว่าครั้งนี้รสชาติมันเป็นอย่างไรบ้าง! ” เนื่องจากในครั้งที่แล้วที่เขาปรุงยาให้ต้วนเฉินเซวียน หลังจากที่ต้วนเฉินเซวียนตื่นขึ้นมา ต้วนเฉินเซวียนก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจรสชาตินี้ขนาดไหน! ดังนั้นคราวนี้เขาจึงปรับปรุงมันให้ดีขึ้นมาหน่อย
รสหวานมักจะเป็นรสชาติที่ดื่มง่ายเสมอกระมัง
ซูเหลียนอวิ้นจ้องไปที่แก้วใบนั้นครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจทำตามที่หรงซู่บอก! นางจึงหลับตาลงแล้วดื่มมันลงไปรวดเดียวหมด! เพราะนางเองรู้ดีว่าหรงซู่ไม่มีทางทำร้ายนางแน่ แต่…ช่างเถิดอย่าไปมองมันก็พอ เพราะยิ่งมองก็ยิ่งก็ยิ่งดื่มไม่ลง!
หลังจากที่ดื่มลงไปหลายอึกจนเห็นก้นแก้วในที่สุด ซูเหลียนอวิ้นก็เช็ดปากและเตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากนางก็หัวทิ่มลงไปบนเตียงทันที
หรงซู่มองอยู่ครู่หนึ่งโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ต่อไปคงต้องลดฤทธิ์ยานอนหลับลงหน่อยเสียแล้ว…เพราะออกจะเห็นผลเร็วเกินไปหน่อย”
……
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ!” หลังจากที่หลิวจือได้ยินเสียงดังขึ้นก็รีบวิ่งออกมาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ทว่าเหตุใดนายท่านของเขาจึงอยู่ตรงนี้ด้วย ดูท่าแล้วเสียงที่ดังขึ้นคงจะมาจากนายท่านกระมัง อืม…อีกอย่างคนที่นายท่านอุ้มอยู่ในอดคือผู้ใดกัน
เมื่อหลิวจือเกิดความสงสัยขึ้นในใจแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลดเสียงฝีเท้าลงแล้วเดินช้าๆ ทีละก้าวเข้ามายืนด้านหลังต้วนเฉินเซวียนพลางเอ่ยว่า “นายท่าน ท่าน…ซู คุณหนูซู? คุณหนูซูเป็นอะไรไปขอรับ”
หลิวจือตาเบิกตากว้างเพราะหากซูเหลียนอวิ้นมาอย่างปกติ เขาก็คงไม่ตกใจขนาดนั้น แต่ตอนนี้ทั้งตัวของซูเหลียนอวิ้นมีแต่เลือด นี่มันเป็นฝีมือของผู้ใดกัน
“ซูเหลียนอวิ้น ซูเหลียนอวิ้น นี่ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ” เสียงอันสั่นเทาของต้วนเฉินเซวียนดังขึ้นกลางดึกของฤดูคิมหันต์ “เจ้าตื่นขึ้นมาเร็วเข้า! อย่าหลับไปแบบนี้! เจ้าอย่าแกล้งกันเช่นนี้! ” ซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ในอกของเขาตอนนี้ลมหายใจเริ่มเบาลงไปเรื่อยๆ อุณหภูมิในตัวของนางก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ สถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ดูเหมือนว่า…จะยิ่งมุ่งไปสู่สภาวะที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
“นายท่าน พวกเรารีบตามหมอหลวงมาจะดีกว่านะขอรับ! ” หลิวจือได้สติกลับมาจึงยื่นมือไปสะกิดต้วนเฉินเซวียน “นายท่านอย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่ตรงนี้เลยขอรับ! “
“ใช่ๆๆ หมอหลวง หมอหลวง รีบไปเอาป้ายคำสั่งของข้ามาแล้วรีบเข้าวังตอนนี้ พาหมอหลวงมาให้ข้าหนึ่งคนให้ได้! ” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดนี้ สีหน้าของเขาก็ดูน่ากลัวขึ้นมาทันที “หลิวจือ ตอนที่เจ้าไปถึงสำนักหมอหลวงแล้วอย่ามัวแต่พูดมากเด็ดขาด แค่พาหมอหลวงกลับมาให้ได้ก็พอ อย่ามัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่นอยู่! “
“ขอรับ นายท่าน! ” หลิวจือกลืนน้ำลายแล้วชำเลืองมองซูเหลียนอวิ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าซูเหลียนอวิ้นจะยังหายใจอ่อนๆ อยู่กระมัง อย่างนั้น…ก็น่าจะยังพอมีทางช่วยอยู่บ้าง
ทว่าสิ่งที่หลิวจือไม่รู้ก็คือฝ่ามือนั้นของต้วนเฉินเซวียนได้ทำให้อวัยวะภายในทั้งห้าของซูเหลียนอวิ้นได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ดังนั้นแม้ตอนนี้จะยังพอมีลมหายใจและยังพอมีทางช่วยเหลืออยู่บ้าง อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ลวงตาเขาเท่านั้น
ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังอุ้มสิ่งที่มีค่าและเปราะบางมากที่สุดเอาไว้ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเบาๆ แม้จะเป็นเพียงระยะทางจากลานบ้านไปที่เรือนเท่านั้น แต่ต้วนเฉินเซวียนกลับกลัวว่าจะกระทบกระเทือนกับซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ในอกของเขาตอนนี้ ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงการเดินทางสั้นๆ แต่เขากลับใช้ระยะเวลาถึงเกือบครึ่งก้านธูป
“ซู ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารีบลุกขึ้นมาได้หรือไม่ อย่าเอาแต่นอนแบบนี้…ตื่นขึ้นมามองข้า” ตอนนั้นเองที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าขอบตาของเขาเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินบางอย่างขึ้น เขาเอามือของเขาเช็ดใบหน้าให้ซูเหลียนอวิ้น “ข้า ข้าไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นเจ้า ข้า…”
ถึงตอนนี้ต่อให้พูดมากเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นได้สิ้นใจไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต่อให้พูดมากเท่าไหร่หรือแสดงความในใจมากแค่ไหนก็เป็นเพียงการพูดกับร่างไร้วิญญาณเท่านั้น
“นายท่าน นายท่าน ข้าพาหมอหลวงสวีมาแล้วขอรับ! ” หลิวจือเอ่ยพลางหายใจหอบ “หมอหลวงสวี เจ้ารีบเข้าไปเร็ว!”
“โธ่เอ๊ย…เจ้าเด็กน้อยนี่ ข้าไม่เคยรู้จักเจ้าสักหน่อย! ข้าบอกแล้วว่าไม่ไป ไม่ไป เจ้าถึงขั้นกล้าแบกข้ามาเชียว!” หมอหลวงสวีเอามือลูบบริเวณเอวที่หลิวจือออกแรงยกเขาขึ้นมาพาดไว้ “เจ้าคอยดูเถิดว่าข้าจะกลับไปฟ้องฝ่าบาทว่าพวกเจ้าลักพาตัวหมอหลวงออกมา!”