ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 207 สิ้นใจ
“อย่ามัวแต่พูดไร้สาระ!” เสียงของต้วนเฉินเซวียนเย็นเฉียบ “รีบมาดูอาการเดี๋ยวนี้ว่าแม่นางผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง หากเจ้าช่วยนางมิได้ ข้าจะฆ่าเจ้าลงหลุมไปพร้อมกับนาง!”
หมอหลวงสวีลูบเคราแพะของตนพร้อมรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่กลัวว่า “อายุยังน้อยแต่มีความอาฆาตรุนแรงถึงเพียงนี้ นี่มันไม่ดีเลยนะ เพราะเจ้าคงรู้ว่าความอาฆาตเป็นสิ่งที่ทำร้ายคนได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัวเจ้า หากโดนทำร้ายแล้ว เจ้าคงจะรู้สึกผิดมากเลยกระมัง
“ช่างเถิดๆ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์” หมอหลวงสวีค่อยๆ เปิดกล่องยาของตัวเองออกแล้วหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ออกมา “คนป่วยอยู่ที่ใด อ้อ ใช่แม่นางที่นอนอยู่บนเตียงคนนั้นหรือไม่ เจ้าตัวใหญ่เสียจนบังนางมิด ข้าเลยมองไม่เห็น”
ต้วนเฉินเซวียนเม้มปากแน่นไม่ยอมพูดจา จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วหลบทางให้ ระหว่างที่เขารอหมอหลวงมาถึงที่นี่ เขาได้ทำการเช็ดรอยเลือดทั้งหมดที่อยู่ตามใบหน้า คอและมือของนางจนสะอาดแล้ว
มีเพียงเสื้อผ้าของนางเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด เพราะที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าที่ผู้หญิงจะสวมใส่ได้ ดังนั้นจึงต้องอดทนไปก่อน
หมอหลวงสวีเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อพิจารณาสถานการณ์ของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ให้ชัดเจน จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นถือเป็นคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ดังนั้นต่อให้เป็นคนแก่ที่ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัวใดๆ อย่างเขาก็ต้องเคยได้ยินหรือพอรู้จักมาบ้าง
อีกอย่างเรื่องราวระหว่างต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้นก็เป็นเรื่องที่คนต้าชั่วทุกบ้านรู้กันทั่ว ดังนั้นการปรากฏตัวอยู่ในที่เดียวกันของต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ ไหนจะยังมีท่าทางเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนอีก…
“สรุปว่าเจ้าจะรักษาหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตา “เรื่องใดควรถาม เรื่องใดไม่ควรถาม เจ้าควรรู้บ้าง”
“อื้ม ข้ารู้” หมอหลวงสวีสัมผัสที่ข้อมือและคอของซูเหลียนอวิ้นเบาๆ เป็นเวลาเนิ่นนานที่เขาไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด
“เป็นอย่างไรบ้าง ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หากต้องการเพียงเจ้าเอ่ยปากก็พอแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขายังคงดื้อรั้นอันตรพาลเช่นเดิม
ทว่าหากตั้งใจฟังดีๆ ก็สามารถฟังออกได้ไม่ยากเลยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียงนี้คือน้ำเสียงอันสั่นเครือของต้วนเฉินเซวียน
หมอหลวงสวีส่ายหน้าเบาๆ “อันที่จริงเจ้าก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ ในใจของเจ้ามีคำตอบอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องลากให้ข้ามาที่นี่ด้วย”
“ตาแก่นี่พูดอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ” ลูกกระเดือกของต้วนเฉินเซวียนขยับขึ้นลง ตาแก่นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ เขารู้เพียงว่าซูเหลียนอวิ้นยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะหลับตาอยู่แต่ก็…เพียงหลับไปเท่านั้น!
เขามีเห็ดหลินจือพันปีหรือว่าจะเป็นโสมหมื่นปีก็มีเช่นกัน! ว่าอย่างง่ายๆ คือต่อให้ซูเหลียนอวิ้นไปถึงปากประตูยมโลก เขาก็จะต้องลากนางกลับมาให้ได้!
“แม่นางผู้นี้สิ้นลมไปตั้งแต่ช่วงครึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้แล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็คงมองออกเช่นกัน เพราะเนื้อตัวของนางแข็งทื่อไปแล้ว ร่างทั้งร่างของนางก็…”
“หุบปากซะ” ต้วนเฉินเซวียนตัดบท “เจ้ามันเป็นหมอไร้ฝีมือ!”
หมอหลวงสวีหยักไหล่อย่างเหลืออดแล้วไม่มองไปทางต้วนเฉินเซวียนอีก จากนั้นจึงหันตัวไปมองหลิวจือที่ยืนเงียบไม่ปริปากมาโดยตลอด เขาหวังว่าจะมีความรู้สึกดีๆ อะไรขึ้นมาบ้าง เพราะท่าทางของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ เขาเห็นมามากพอจนไร้ความรู้สึกใดๆ
หลังจากที่ทุกคนสิ้นใจไปแล้ว เพื่อนฝูงและคนในบ้านมีใครบ้างที่จะไม่มีอาการเช่นนี้ แต่เมื่อผ่านไปสักสองสามวันก็จะทำได้เพียงยอมรับความเป็นจริงเท่านั้น
หลิวจือสบตากับหมอหลวงสวีและไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะ…เขาควรจะพูดอะไรเล่า เขาเองก็มิใช่คนตาบอด ดังนั้นสถานการณ์ของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้เป็นอย่างที่หมอหลวงสวีพูดไม่มีผิดเพี้ยน!
มนุษย์เมื่อสิ้นใจไปแล้ว ต่อให้มีหมอเทวดามาจากไหนก็คงมิอาจยื้อชีวิตคนผู้นั้นจากยมบาลกลับมาได้
บรรยากาศในห้องตอนนี้ เงียบสงัดไร้ชีวิต
ต้วนเฉินซวียนกุมมือของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ สายตาคู่นี้ของเขาจ้องไปยังใบหน้าที่ยิ่งซีดเซียวลงเรื่อยๆ ของนาง นั่นเป็นเพราะเขามีความคิดและมีความหวังว่า…พวกเขา พวกเขาจะต้องกำลังโกหกอยู่อย่างแน่นอน
คนที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังมีชีวิตชีวาส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ เขา ตอนนี้จะ…หมดลมหายใจไปได้อย่างไร
มือเท้าเย็นไม่เป็นอะไรเพียงเขาคอยกุมเอาไว้จะต้องอุ่นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน หลับตาอยู่ก็ไม่เป็นไร นางคงเพียงง่วงนอนก็เท่านั้น นอนพักผ่อนสักหน่อยเดี๋ยวก็คงจะตื่นขึ้นมาเอง
“นายท่าน คนจากตระกูลซูมารออยู่ด้านนอกแล้ว!” เสียงของชายรับใช้กระหืดกระหอบดังมาจากด้านนอกเรือน “นายท่าน ท่านรีบออกมาดูหน่อยเถิด! เขาบอกว่าตอนนี้คุณหนูซูยังไม่กลับบ้าน สาวรับใช้ของคุณหนูซูก็บอกว่าคุณหนูซูออกมาหานายท่าน ดังนั้นคนจากตระกูลซูจึงมาตามหาที่นี่ขอรับ”
“นายท่าน…” หลิวจือเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ท่าน…” ด้วยท่าทางของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้ แม้ว่าหลิวจือจะติดตามเขามาตั้งแต่เด็กก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี ตอนนี้เขาเหมือนตกอยู่ในความคิดบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึง ทำให้คนรอบข้างต้องขนหัวลุกด้วยกันทั้งสิ้น
“ให้พวกเขาไสหัวกลับไป” น้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนแข็งกร้าวไร้ใดเปรียบ “ให้คนตระกูลซูไสหัวกลับไปให้หมดเดี๋ยวนี้! ซูเหลียนอวิ้น…วันนี้ไม่ได้มาหาข้าที่นี่ ให้พวกเขากลับไปซะ”
“นายท่าน…!” ตอนนี้หลิวจือไม่รู้ผิดถูกใดๆ อีก เพราะตอนนี้พวกเขาได้มาถึงหน้าประตูแล้ว นายท่านยังคง…พูดกลบเกลื่อนความจริงอยู่อีก! อีกอย่างตอนนี้นางได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาตอนนี้คือควรจะจัดการ…ร่างไร้วิญญาณนี้อย่างไร…
“นางเป็นของข้า ผู้ใดก็เอานางไปไม่ได้” ต้วนเฉินเซวียนกุมมือซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วจูบเบาๆ บนมือของนาง “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้ทั้งนั้น” ยมบาลไม่ได้ คนตระกูลซูก็ยิ่งไม่ได้ เจ้าเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น
“ต้วนเฉินเซวียน ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“นายท่าน นายท่าน ข้าน้อยรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว!” ชายรับใช้พยายามอย่างยิ่งที่จะรั้งโดยการโอบบริเวณเอวของซูมั่วเยี่ยเอาไว้ แต่ซูมั่วเยี่ยผู้เป็นขุนพลที่มีชื่อในสนามรบมาตั้งแต่ยังเด็ก ชายรับใช้เพียงไม่กี่คนจะห้ามเขาอยู่ได้อย่างไร
ซูมั่วเยี่ยรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระส่ำ อันที่จริงแล้วเขาเกิดความรู้สึกนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว เพียงแค่ความรู้สึกตอนเช้ายังไม่รุนแรงถึงเพียงนี้ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ฟ้าเริ่มมืดลง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจของเขาเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องราวไม่เป็นมงคลบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อรู้สึกเช่นนี้แล้ว ซูมั่วเยี่ยก็ทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วรีบตะบึงม้ากลับมายังจวนตระกูลซูแล้วพุ่งตรงไปยังเรือนของซูเหลียนอวิ้น
แล้วสุดท้ายน้องสาวของเขาก็ไม่อยู่จริงๆ ตอนนี้เป็นเวลาตั้งเท่าไหร่แล้ว เหตุใดจึงไม่อยู่ที่เรือน ลางไม่ดีบางอย่างจึงบังเกิดขึ้นในใจของซูมั่วเยี่ยอย่างรุนแรง
ต้วนเฉินเซวียน…ซูมั่วเยี่ยกัดฟันให้กับป้ายชื่อที่ติดอยู่เหนือหน้าผากของเขา เขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าน้องสาวของตนอยู่ในห้องนี้!