ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 209 ข้อห้าม
“นายท่าน! ” หลิวจืออุทานด้วยความตกใจ
นั่นเป็นเพราะว่ากว่าจะไล่ซูมั่วเยี่ยไปนั้นไม่ง่าย สุดท้ายเขาจึงเอ่ยว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาเอาคืน ทว่าเมื่อกลับเข้ามากลับเห็นสภาพที่เจ้านายของตัวเองกำลังรัดคอหมอหลวงสวีเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“นี่นายท่านกำลังทำอะไรอยู่! ” หลิวจือหวังว่าจะช่วยให้ต้วนเฉินเซวียนปล่อยมือออกจากหลิวจือได้ เพราะหากมีคนตายที่นี่เพิ่มอีกคน เรื่องนี้จะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ใช่หรือไม่
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินหลิวจือร้องรียกเช่นนี้ เขาก็คลายมือออก จากนั้นหมอหลวงสวีก็ล้มลงสู่พื้นทันที
“ไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก” ต้วนเฉินเซวียนเชิดหน้าขึ้นอย่างแข็งกร้าว “แต่หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ข้าเชื่อว่าหมอหลวงสวีคงรู้ดี”
หมอหลวงสวีอ้าปากสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดเพื่อให้อากาศได้เข้าไปสู่ภายในร่างกายของตน หลังจากนั้นพักใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าคอของตัวเองไม่ได้เป็นอะไรสามารถพูดได้ตามปกติ หมอหลวงสวีจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คุณชายอย่าห่วงเลย ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร” ข้าเกิดมาวาสนาน้อยต้องอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นต่อให้ข้าตายก็คงจะไม่เป็นไร
จะให้เขาตายก็ได้แต่ต้องไม่ใช่การตายไปอย่างสูญเปล่าโดยที่ไม่เต็มใจเช่นนี้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาต้องเอาชีวิตให้รอดแล้วออกจากที่นี่ไปให้ได้ จากนั้นเขาถึงจะครุ่นคิดเรื่องราวต่อจากนี้ได้
“หลิวจือ ส่งหมอหลวงสวีกลับสำนักหมอหลวงด้วย”
“ขอรับนายท่าน” หลิวจือประสานมือคารวะ “หมอหลวงสวี เชิญทางนี้”
สุดท้ายโลกใบนี้ก็กลับมาสงบลงอีกครั้งหนึ่ง ค่ำคืนสงัดเงียบยิ่งทำให้โดดเดี่ยวอ้างว้างและยาวนานยิ่งขึ้น ความสงบเงียบคล้ายว่าความวุ่นวายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
นั่นเป็นเพราะตอนนี้คือความฝัน ซูเหลียนอวิ้นกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จากบนฟ้า เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่นางไม่ควรรับรู้เลย
ตอนนี้นางบรรยายความอึดอัดใจของตนไม่ออก นางเพียงรู้สึกว่า…หากนางไม่ได้ตายเล่า นางเองก็ไม่ได้โง่ถึงขึ้นจะไม่รู้ว่าที่ต้วนเฉินเซวียนทำเช่นนี้กับนางเป็นเพราะอะไร เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ นาง…เข้าใจดี
ต้วนเฉินเซวียนเดินกลับมาที่เตียง จ้องมองไปยังดรุณีน้อยที่นอนอยู่บนนั้น
ใบหน้าของดรุณีน้อยผู้นี้ยังคงแดงระเรื่อเช่นเคย หากไม่เอ่ยถึงรอยเลือดสีดำบนชุดที่แห้งกรังอยู่ นางก็ดูเหมือนเป็นเพียงคนที่นอนหลับอยู่เท่านั้น มีความสุขและสงบใจเช่นนั้น
“ซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนกระซิบ “เจ้า…พวกเขาล้วนบอกว่าเจ้าตายแล้ว อันที่จริงเจ้ายังไม่ตายใช่หรือไม่ เมื่อก่อนเจ้าก็เคยล้อข้าเล่นเช่นนี้ สุดท้ายเจ้าก็ถูกข้าจับได้ ตอนนี้หมดเวลาล้อเล่นแล้ว เจ้าลุกขึ้นมาได้แล้ว”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะทบทวนกับตัวเองว่ามันเคยเกิดเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ
ในการแข่งขันล่าสัตว์ที่หนึ่งปีจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งตอนนั้น นางคิดว่าต้วนเฉินเซวียนจะต้องไปด้วย ดังนั้นแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะล่าสัตว์และขี่ม้าไม่เป็น แต่นางกลับพยายามอ้อนวอนซูปั๋วชวนให้พานางไปด้วย
แน่นอนว่าแม้ว่าไม่มีความสามารถเหล่านี้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะในบรรดาคุณหนูพวกนั้นโดยส่วนมากแล้วก็ไม่แตกฉานทางด้านนี้เช่นกัน บางคนก็ไม่มีความสามารถเลยแม้แต่น้อย ทุกคนจึงมาเพื่อความบันเทิงและเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับลี่หยวนตี้เท่านั้น
คนที่มีความสามารถ เมื่อถึงเวลาแข่งขันก็จะพยายามทำให้ตัวเองเฉิดฉาย ส่วนคนที่ไม่มีความสามารถก็จะนั่งรักษากิริยาอบอบบางน่าทะนุถนอม ซึ่งก็เป็นวิธีที่ได้ผลไม่น้อย
แต่สำหรับซูเหลียนอวิ้น…ตอนนั้นแม้ว่านางจะไม่ค่อยชำนาญการขี่ม้านัก นางทำได้แค่พอขี่ได้เท่านั้น แต่นางก็ยังฝืนลากม้าออกมาแล้วประกาศว่านางก็จะขอเข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากบรรดาบุรุษส่วนใหญ่ ทุกๆ ปีจะต้องผ่านการเข้าร่วมแข่งขันล่าสัตว์เพื่อหาผู้แพ้ชนะ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะมารวมกันอยู่ตรงนี้แต่ก็เป็นเพียงการรวมตัวระยะสั้นๆ เท่านั้น เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็จะไม่รวมกันอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
เมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ต้วนเฉินเซวียนเป็นคนแรกที่ตะบึงม้านำออกไป ในใจผู้ชมต่างสงสัยว่าที่เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการได้อันดับหนึ่งหรือเป็นเพราะว่าซูเหลียนอวิ้นอยู่ด้านหลังจึงทำให้เขารู้สึกเหมือนมีผีวิ่งไล่กวดอยู่จึงได้ออกตัวไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้น
ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่ได้สนใจว่าผู้อื่นจะมองหรือพูดถึงนางว่าอย่างไร เมื่อข้าทั้งสองข้างของนางคร่อมม้าเอาไว้แล้วและเอาแซ่ฟาดไปทีหนึ่ง ร่างของนางก็พุ่งไปราวกับลูกธนูที่พุ่งตรงตามต้วนเฉินเซวียนไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าการพุ่งตัวออกไปนั้นง่าย แต่การสั่งให้หยุดเล่า? คงจะเป็นเรื่องยากกว่าหน่อย! เพราะการลงแซ่ของนางเมื่อครู่นี้คล้ายว่ามิได้ควบคุมกำลังของตนอย่างดีพอจึงใช้กำลังลงแซ่แรงเกินไป!
เมื่อเห็นม้าตัวนี้เริ่มวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ แถมยังวิ่งออกห่างจากฝูงชนไกลขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงกัดฟันแล้วกระโดดลงมาจากบนหลังม้า
แต่หากเป็นซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้…ต่อให้นางมีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยเท่า นางก็คงไม่กล้ากระโดดลงมาจากหลังม้าเช่นนี้!
นั่นเป็นเพราะนางไม่รู้ผลนางจึงไม่กลัว ตอนนี้หากให้นางกระโดด? นั่นคงเปรียบเสมือนกับบังคับให้นางไปตายอย่างไรอย่างนั้น เพราะหลังจากกระโดดลงมาจากบนหลังม้าแล้ว นางก็กลิ้งลงไปบนพื้นหลายตลบ อีกทั้งหัวของนางยังกระแทกไปโดนก้อนหินอย่างเต็มแรง
แม้ว่าภายหลังจะไม่มีร่องรอยแผลเป็น แต่รอยเลือดที่ไหลทะลักออกมานั้นก็เพียงพอให้ผู้พบเห็นหวาดผวา
ต้วนเฉินเซวียนได้ยินเสียงม้าผิดปกติมาจากด้านหลัง เขาจึงรีบหันกลับไป เมื่อหันกลับไปเขาก็เห็นซูเหลียนอวิ้นเอามือกุมหน้าผากของตัวเองพร้อมกับโอบต้นไม้อยู่
ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนตะลึงงัน เพราะเมื่อครู่นี้นางยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ? อีกอย่างม้าตัวนี้ยังเป็นม้าที่ซูมั่วเยี่ยเป็นคนลากมาให้ซูเหลียนอวิ้นเองกับมือจึงน่าจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง? เหตุใดถึงได้พยศเช่นนี้ได้?
ทว่าต่อให้ครุ่นคิดหรือมีคำถามมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญเท่าการช่วยพาซูเหลียนอวิ้นส่งให้ถึงมือหมอหลวงโดยเร็วที่สุด ต้วนเฉินเซวียนลงจากหลังม้าแล้วก้มตัวลงไปอุ้มซูเหลียนอวิ้นขึ้นมากอดไว้ในอก
ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองมึนงงอย่างมาก จู่ๆ ภาพเบื้องหน้าของนางก็มืดดำ จากนั้นนางจึงรู้สึกว่าตัวของนางลอยละล่อง เมื่อครู่นี้นางอยากกรีดร้องออกไป ทว่าอีกวินาทีถัดมานางกลับเข้าใจทุกอย่าง
นั่นเป็นเพราะกลิ่นอันคุ้นเคยอยู่ตรงจมูกของนางแล้ว ดังนั้นผู้ที่กำลังกอดนางอยู่นั้นเป็นใคร นางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นก็รู้ได้แน่ชัด
“นี่” จู่ๆ ซูเหลียนอวิ้นก็หยอกเย้าขึ้นมา เพราะตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังกอดนางอยู่ เขากอดนางเชียวนะ! ดังนั้นความเจ็บปวดทั้งหมดก็คล้ายว่าสามารถอดทนให้ผ่านไปได้ นางกระแอมขึ้นครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้ เดิมทีในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าต้องเอ่ยว่าขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าต้องตอบแทนท่านด้วยร่างกายของข้าใช่หรือไม่?”
“ทว่าน่าเสียดายยิ่ง สภาพของข้าตอนนี้คงมิอาจอยู่ได้จนถึงตอนแต่งงานกับท่านได้แล้ว ดังนั้นท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด…”
“หุบปาก” มือทั้งสองของต้วนเฉินเซวียนปิดปากนางไว้แน่นแล้วจ้องเขม็งไปยังซูเหลียนอวิ้น “หากเจ้ากล้าพูดมากกว่านี้อีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่ตรงนี้ เจ้าเชื่อไหมเล่า!” ตายเตยอะไรกัน! ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรสักอย่าง!