ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 213 ความเจ็บปวด
“ได้ๆ” หรงซู่พยักหน้างกๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ภรรยาของเจ้าน่ะหรือ…ต้วนเฉินเซวียนเจ้ารีบวางลงเถิด แบกเอาไว้อย่างนี้แขนคงล้าแย่แล้ว”
ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไรแล้วค่อยๆ วางลังลงอย่างเบามือ ท่าทางของเขาอ่อนโยน ราวกับว่ากำลังจัดวางของที่เปราะบางที่สุดบนโลกใบนี้
“เปิดดูได้หรือไม่” หรงซู่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างลังเล
“ได้” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า “แต่มิใช่ตรงนี้ ตอนนี้นางไม่ชอบแสงแดดเอาเสียเลย ห้ามโดนแดดเด็ดขาด”
ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว นางกลัวแสงแดดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมตัวนางเองถึงไม่รู้ ช่างเถิด ดูภาพเหตุการณ์ตรงนี้ก่อนดีกว่าว่าคืออะไร เพราะเมื่อครู่นี้นางอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองก็เป็นไปได้!
ต้วนเฉินเซวียนยกลังเข้าไปด้านในบ้านอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง จากนั้นจึงออกแรงยกฝาลังใบนั้นเปิดออก
ด้านในของลังเป็นไปตามที่ซูเหลียนอวิ้นคิดเอาไว้ไม่มีผิด นั่นก็คือร่างไร้วิญญาณของนาง!
กระแสความเย็นยะเยือกพุ่งเข้าใส่หรงซู่จนเขาต้องผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว ผ่านไปพักหนึ่งเมื่อมองภาพชัดเจนแล้วจึงเอ่ยพรวดออกมาว่า “อวิ้นเอ๋อร์…?”
ด้านล่างของลังใบนี้มีหยกพันปีชั้นดีรองเอาไว้หลายก้อนรวมทั้งในปากของนางก็มีอยู่ด้วยอีกก้อนหนึ่ง ดังนั้นสภาพของศพร่างนี้จึงยังไม่เน่า
ดรุณีน้อยนางนี้ขดตัวอยู่ในลังไร้วาจา เมื่อมองเช่นนี้แล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยจริงๆ นั่นก็คือนางแค่หลับไปเท่านั้น
“ต้วนเฉินเซวียน เจ้า…!” หรงซู่ชี้ไปที่ต้วนเฉินเซวียน ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงเอามือลงอย่างเงียบๆ “เฮ้อ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้”
“ศิษย์พี่รู้จักนางหรือ” เขาเอ่ยถามเสียงแข็งโดยไม่เหลือบตาขึ้นมามอง สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่ดรุณีน้อยที่อยู่ลังเช่นเดิม
“จะไม่รู้จักได้อย่างไร” หรงซู่เค้นรอยยิ้มออกมา ทว่ารอยยิ้มนั้นนับว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง “อวิ้นเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์ของข้า และเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่ข้ามี”
“อย่างนี้เองหรือ…” แววตาของต้วนเฉินเซวียนไร้การเคลื่อนไหวราวกับว่าสิ่งที่หรงซู่พูดไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่หากเป็นต้วนเฉินเซวียนในอดีต ถ้าได้ยินหรงซู่ใช้น้ำเสียงที่ละเอียดอ่อนเอ่ยกับเขาว่ารู้จักกับซูเหลียนอวิ้นแถมยังคล้ายเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งไม่ธรรมดาเช่นนี้ด้วยแล้ว…เกรงว่าคงจะวางมือจากทุกอย่างแล้วไล่ต้อนถามหรงซู่ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่
ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีกเลย ไม่มีคำถามใดหลุดออกมาเพื่อไล่ถามหรงซู่
เขาเพียงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นเรียบๆ แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
“อืม” หรงซู่ค้อมตัวแล้วคุกเข่าลงเพื่อสำรวจสีหน้าของซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นราวกับกำลังพูดกับตัวเอง “อวิ้นเอ๋อร์…ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับนาง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้เวลาที่จะเกิด ที่แท้…วันนี้กลับมาถึงเร็วเพียงนี้”
“ข้าทำผิดต่อนาง” แววตาของต้วนเฉินเซวียนปรากฏแสงวับไหว ทว่าความวับไหวนั้นกลับเป็นแสงสีดำ “ศิษย์พี่ ข้ามาหาท่านเพราะอยากจะขอร้องท่านว่าพอจะมีวิธีการใดที่ทำให้นางตื่นขึ้นมาได้บ้างหรือไม่ ข้ารู้ว่าท่านทำได้ ท่านคือศิษย์คนโปรดที่สุดของอาจารย์แล้ว”
หรงซู่ก้มหน้าลงจากนั้นจึงตอบว่า “อาจจะ”
ทว่าคำว่า ‘อาจจะ’ นี้ ไม่ได้บ่งบอกว่าหมายถึงอะไร ‘อาจจะ’ มีวิธีการ หรือหมายถึงประโยคของต้วนเฉินเซวียนที่ว่าปกติแล้วเขาเป็นศิษย์คนโปรดที่สุด
“มีวิธีการจริงๆ หรือ” ต้วนเฉินเซวียนหันควับกลับมาแล้วคว้าไหล่ของหรงซู่เอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา “จริงๆ ด้วย มีจริงๆ ด้วย…แล้วต้องทำอย่างไรเล่า”
หรงซู่โดนจับไหล่ไว้เช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา แต่ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วและอดทนเอาไว้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “วิธีการก็คือ แลกชีวิตด้วยชีวิตดีหรือไม่”
“แลกชีวิตด้วยชีวิต?” มือของต้วนเฉินเซวียนคลายออก ปากของเขาพึมพำคำพูดนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยว่า “ก็ดี หากการแลกชีวิตด้วยชีวิตทำให้นางฟื้นกลับมาได้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย” เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เหมือนคนที่ตายไปตั้งนานแล้ว
เมื่อจิตวิญญาณตายไปแล้ว ก็เหลือเพียงร่างกายที่เป็นเพียงเปลือกนอกเอาไว้ หากสามารถแลกชีวิตด้วยชีวิตได้จริงๆ นั่นกลับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ
ให้ตัวเขาตายไปอย่างมีความสุข แถมตอนที่ซูเหลียนอวิ้นฟื้นขึ้นมายังไม่ต้องเห็นหน้าเขา ไม่ต้องให้เขาต้องเผชิญกับสายตาที่เริ่มมีแววตำหนิของซูเหลียนอวิ้น เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีได้เช่นกัน
“ไม่ใช่ให้เจ้าตาย” หรงซู่หัวเราะ “เพราะหากใช้เพียงความตายแต่เพียงอย่างเดียวได้ล่ะก็ นั่นจะไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรอีก”
“อืม…ยังต้องเอาความทุกข์ใจทั้งหมดของอวิ้นเอ๋อร์ในชาตินี้ให้เจ้าได้ลิ้มรสดูบ้าง ที่ผ่านมานางรู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้าก็ต้องรับรู้ความรู้สึกนั้นเป็นหมื่นเท่าหรืออาจจะมากกว่านั้น และบางที…อาจจะไม่ได้มีเพียงแค่นี้ด้วยกระมัง เพราะความเจ็บปวดบางประเภท ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้” หรงซู่เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องยังยืนยันจะลองดูอีกหรือไม่ อีกอย่างศิษย์พี่ขอออกตัวเอาไว้ตรงนี้เลยว่าวิธีการนี้ข้าอ่านเจอมาจากตำราที่อาจารย์เหลือไว้ให้พวกเราเล่มสุดท้ายเล่มนั้น
“นี่ก็เป็นเพียงทฤษฎีที่คล้ายๆ กับการวางแผนรบบนกระดาษเท่านั้น ผลจริงจะออกมาเป็นอย่างไร ศิษย์พี่ก็ไม่เคยทดลองมาก่อน ดังนั้นหากเจ้ายืนกรานว่าจะลองจริงๆ ข้าเองก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะประสบผลสำเร็จเพราะนี่เป็นครั้งแรกของศิษย์พี่เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วหากไม่สำเร็จ ความขมชื่นที่เจ้าจะได้รับก็คงจะไม่ลดน้อยลงไปมากกว่านี้”
“ข้ารับได้” ต้วนเฉินเซวียนตอบ “ข้ารับทั้งหมดได้” ไม่ง่ายเลยที่โอกาสจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าได้ เช่นนั้นเขาจะมีเหตุผลอะไรเล่าที่จะไม่รับและไม่ลองดูสักตั้ง?
เขาไม่สนใจว่าจะมีโอกาสเผชิญความล้มเหลวถึงเก้าสิบเก้าส่วน ในขณะที่โอกาสที่จะสำเร็จมีเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ดังนั้นเขากล้าพนัน เพราะเขาเองก็ไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว?
ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าหรงซู่จะพูดเงื่อนไขออกมาอีกกี่ข้อก็ตาม เขาก็จะยอมรับแต่โดยดี นั่นเป็นเพราะความเจ็บปวดทางกายนับเป็นเรื่องใหญ่เสียที่ไหนกันเล่า
ที่ที่เจ็บที่สุดคงจะหนีไม่พ้นความเจ็บปวดที่หัวใจ ความตายที่ร้ายแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นหัวใจที่สูญสลาย
“เช่นนั้นก็ดี” หรงซู่หมุนตัวกลับไปแล้วไม่มองไปที่ต้วนเฉินเซวียนอีก “เจ้าตามข้ามา”
“ได้” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยตอบ เขาก้มตัวลงแล้วสัมผัสไปที่ใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นเบาๆ ราวกับเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
“รอข้ากลับมานะ”
ข้าจะกลับมา เจอกันชาติหน้า
อันที่จริงแล้วซูเหลียนอวิ้นเองก็อยากตามไปดูเช่นกัน ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่านางจะอยากไป แต่นางกลับตามไปไม่ได้ ไม่ว่านางอยากจะขยับเพียงใด นางก็รู้สึกคล้ายกับว่าเบื้องหลังประตูบานนั้นมีบางสิ่งบางอย่างพยายามที่จะขัดขวางนาง นางจึงผ่านเข้าไปไม่ได้
ดังนั้นภาพในสายตาของนางจึงอยู่ที่ประตูบานนั้นเท่านั้น ท่ามกลางความสงบ นางได้แต่หวังว่าจะสามารถใช้หูของนางจับใจความอะไรออกมาได้บ้าง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็คล้ายว่ามีเสียงดังลอยออกมาจากห้องๆ นั้น เสียงนั้นเป็นเสียงโอดครวญเท่านั้น ซึ่งยังถือได้ว่าเสียงนั้นยังเบานักจึงเดาได้ว่ายังพอมีสติควบคุมได้ แต่เสียงที่ลอยออกมาต่อจากนั้นกลับเป็นเสียงร้องดังที่ออกมาอย่างไร้สติหรืออาจกล่าวได้ว่าไร้หนทางจะควบคุมได้จึงร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงเช่นนั้น
ซูเหลียนอวิ้นแอบฟังอยู่อย่างสงบ เสียงนี้เป็นเสียงที่นางคุ้นหูมากเป็นที่สุด ทว่า…ต้วนเฉินเซวียนที่นางเคยรู้จักต่อให้เขาโดนฟันแขนเละจนเห็นถึงกระดูก เขาก็ไม่มีทางร้องโอดครวญออกมา
ทว่าตอนนี้กลับ…นี่ถือเป็นความเจ็บปวดขั้นไหนกัน!