ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 215 เพิ่มพูน
“คุณหนูกลับมาเสียที” เมื่อซูเหลียนอวิ้นก้าวเข้ามาในบ้าน เสียงของหลีมู่ก็ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งทันที “บ่าวนึกว่าคุณหนู…ตอนนี้คุณหนูกลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ””อืม กลับมาแล้ว” เมื่อสิ้นเสียงของซูเหลียนอวิ้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังเข้ามาจากด้านนอกทันที จากนั้นไม่นานนัก ฝนที่มีขนาดราวถั่วเม็ดใหญ่ก็เริ่มตกเปาะแปะลงมา
ทางฝั่งของหลานเย่ว์
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ กลับมาแล้วหรือ” คนทั้งสี่จ้องมองหลานเย่ว์ตาปริบๆ ในแววตาของพวกเขาแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจน
ทว่าน่าเสียดายนัก ในมุมมองของหลานเย่ว์ หลานเย่ว์กลับไม่เข้าใจความหมายของพวกเขาเลยสักนิด! ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างเรียบเฉยแล้วเอ่ยว่า “กลับมาแล้ว” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับเตรียมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
นั่นเป็นเพราะบริเวณตีนเขาอากาศร้อนอบอ้าวจึงทำให้เสื้อผ้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงเหนอะหนะและแนบสนิทผิวกายทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
แค่นี้เองหรือ พวกเขาไม่ค่อยพอใจนัก จากนั้นแต่ละคนจึงพยายามลากหลานเย่ว์เอาไว้ “พี่ใหญ่ ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเราหน่อยหรือ”
“ใช่ๆ” หยาเอ่อร์กอดแขนหลานเย่ว์เอาไว้โดยไม่ยอมวางมือ “พี่ใหญ่ไม่มีเรื่องราวพิสดารอะไรจะเล่าให้พวกเราฟังหน่อยหรือ หรือไม่ก็เล่าให้พวกเราฟังหน่อยว่าพี่ใหญ่ไปไหนกับคุณหนูมาก็ได้” พวกเรารอกันมาตั้งสองชั่วยามกว่าแล้ว! รอจนร้อนใจแทบแย่! แน่นอนว่านั่นเป็นผลมาจากเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ…พวกเขาพนันกันไว้อีกแล้ว! แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ “เรื่องราวพิสดารหรือ…” หลานเย่ว์เงยหน้าพลางครุ่นคิด “มีอยู่เรื่องหนึ่ง และเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง”
“เรื่องอะไรรึ””ก่อนหน้านี้คุณหนูบอกว่าวันนี้ฝนจะตกลงมา เลยบอกให้ข้ารีบเร่งฝีเท้า ตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อ แต่สุดท้ายกลับคิดไม่ถึงเลยว่า…ฝนจะตกลงมาจริงๆ”
“โอ้โห คุณหนูใหญ่ร้ายกาจมาก” คนทั้งสี่ปล่อยแขนหลานเยว์เพื่อปรบมือ
“คุณหนูใหญ่รู้จักวิชาการดูดวงดาวเสียด้วย!” ผูหลิวปรบมือค้างด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดเจนว่าประหลาดใจกับความสามารถนี้ของซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูใหญ่คือคมในฝักโดยแท้!”
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ ไม่เสียชื่อที่เป็นคุณหนูใหญ่!” ใบหน้าของหยาเอ่อร์ตอนนี้แสดงความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ดังนั้นในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างนั้น ความอัศจรรย์ใจในตัวซูเหลียนอวิ้นของหยาเอ่อร์และพวกกำลังเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น
ในเรือนของซูเหลียนอวิ้น นางรู้สึกว่านางคันจมูกอย่างรุนแรง นางจึงจามติดต่อกันไปหลายที จากนั้นจึงลูบจมูกที่แดงก่ำของตนพลางคิดว่า ผู้ใดกันที่กำลังแอบพูดถึงนางอยู่? แถมยังพูดถึงนางอย่างสนุกปากถึงขนาดที่นางจามครั้งเดียวก็ไม่พอ!
“เมื่อครู่นี้อากาศยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ฝนถึงตกลงมาได้เล่า” เมื่อหลีมู่ทำความสะอาดบริเวณลานบ้านเรียบร้อยแล้วก็เดินบ่นพึมพำเข้ามา”ตกลงมาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางเอ่ยขึ้น “ช่วงนี้อากาศร้อนมาก ฝนตกลงมาก็ดีเหมือนกันอากาศจะได้เย็นสบายขึ้น อ่อใช่สิ ตอนที่ข้าไม่อยู่เมื่อครู่นี้มีผู้ใดมาหาข้าบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” หลีมู่ส่ายหน้า “มีแต่ทางฮูหยินที่ส่งข่าวมาบอกว่าคืนนี้จะไปกินข้าวที่เรือนของฮูหยินใหญ่ หากถึงเวลาเชิญคุณหนูไปที่นั่นด้วย”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า จากนั้นจึงหมุนตัวเตรียมจะนอนลงบนเตียง
“คุณหนูจะนอนอีกแล้วหรือเจ้าคะ” หลีมู่เบิกตากว้าง “คุณหนู ช่วงนี้เป็นอะไรไปเจ้าคะ เหตุใดถึงชอบนอนนัก” ช่วงนี้นิสัยชอบนอนกลางวันของคุณหนูหนักข้อขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ต้องนอนก่อนสักตื่น
เพราะหากเปรียบเทียบซูเหลียนอวิ้นตอนนี้กับตอนก่อนหน้าแล้ว ในทุกวันนี้นางนอนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
“อย่างนั้นเจ้าช่วยส่งหนังสือมาให้ข้าอ่านสักเล่มสิ” ซูเหลียนอวิ้นหาวพลางยื่นมือออกไปรับ “ถึงอย่างไรด้านนอกฝนก็ยังตกอยู่ หลีมู่เจ้าคงมิอยากเห็นข้าออกไปเดินเล่นที่ลานตอนฝนตกกระมัง”
“เจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้าพลางขานตอบ จากนั้นจึงหันตัวไปหยิบหนังสือจากชั้นวางมาหนึ่งเล่มแล้วส่งให้ซูเหลียนอวิ้น ทว่าขณะที่นางเดินเข้ามาใกล้แล้วนั้น…หลีมู่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า “คุณหนู นอนต่อสักตื่นดีหรือไม่เจ้าคะ” เหตุใดรอยคล้ำใต้ตาถึงได้คล้ำนัก! หรือว่าช่วงนี้ตนดูแลคุณหนูไม่ดี หากรู้แต่แรกคงกำชับทางห้องครัวแต่แรกแล้วว่าให้ต้มน้ำแกงที่ช่วยกล่อมประสาทคุณหนู เพราะหากเริ่มต้มตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคืนนี้ก่อนเข้านอนจะได้ดื่มหรือไม่
“ข้ารู้แล้ว” สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอ่อนล้าคล้ายไม่อยากเจรจาอีกต่อไปแล้ว “หลีมู่ข้าอยู่คนเดียวได้ เจ้าไปเถิด”
“เจ้าค่ะ” หลีมู่ค้อมตัว จากนั้นจึงค่อยๆ หมุนตัวออกไปจากห้อง
ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่บนเตียง นางนอนพาดอยู่บนเตียงเหม่อมองม่านผ้าฝ้ายที่อยู่ด้านบนแล้วแอบถอนใจ “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!”กล่าวได้ว่าตอนที่นางตื่นจากความฝันที่กระท่อมของหรงซู่ ความรู้สึกของนางถูกกระทบกระเทือนอย่างผิดธรรมดา ทว่านางยังคงแสร้งปั้นสีหน้าได้อย่างดี โดยที่ไม่มีผู้ใดดูนางออก ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…นางรู้อยู่แก่ใจดี
“ต้วนเฉินเซวียน…” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นนอนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงหลายรอบ นางก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าแล้วนอนพาดอยู่บนเตียงนิ่งๆ พลางพึมพำสามคำนี้ออกมา
คำสามคำที่เปรียบเสมือนคำสาปแช่ง
ผ่านไปสองชาติแล้ว ไม่ว่านางจะหลบอย่างไรหรือทำอย่างไรก็ดูเหมือนว่านางล้วนไม่สามารถหลบพ้น? สถานการณ์เช่นนี้โดยปกติแล้วเรียกว่าอย่างไรกันแน่? ชะตาฟ้าลิขิตหรือ เฮ้อ คงจะเป็นเช่นนั้น!
ช่างเถิด นอนต่ออีกสักครู่ดีกว่า ซูเหลียนอวิ้นดึงผ้าห่มที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาห่ม ก่อนที่นางจะจากมาหรงซู่ก็บอกกับนางเช่นกันว่า หากนางคิดไม่ตกหรือเหนื่อยล้าเกินไป วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการนอนพักสักตื่น
นอนเถิด ความฝันครั้งนี้คงจะสดใสขึ้นกว่าเดิมมากแล้วกระมัง ไม่ว่าจะเป็นความฝันแบบใดนางก็ไม่อยากฝันทั้งนั้น นางแค่อยากนอนหลับให้สนิทเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่สะกิดที่ตัวซูเหลียนอวิ้นเบาๆ “คุณหนูใหญ่ วันนี้เป็นวันที่ต้องทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา คุณหนูรีบตื่นเร็วเข้าเถิด”
“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นพยายามสุดแรงที่จะลืมตาขึ้น “ถึงเวลาแล้วหรือ ข้านอนหลับไปนานมากเลย” จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าจะหลับเป็นตาย แต่การนอนหลับครั้งนี้นางกลับมิได้ฝันเห็นอะไร นางเพียงนอนหลับไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ฝันอะไรทั้งนั้น
นับว่าโชคดีนัก นางกลับมามีกำลังวังชามากขึ้นแล้ว ไม่มีอาการที่เพียงนั่งลงก็หาวตลอดเวลาอีก
“จริงสิ คุณหนู” หลีมู่กำลังก้มหน้าจัดเตียงให้ซูเหลียนอวิ้น “ตอนนั้นบ่าวเข้ามาดูคุณหนูครั้งหนึ่ง คุณหนูหลับสนิทมากทีเดียว บ่าวเองยังอยากให้คุณหนูนอนต่ออีกสักหน่อยเลยเจ้าค่ะ”
การนอนหลับสนิทได้ขนาดนี้ถือว่าเป็นโชคดีมาก หากไม่ได้เป็นเพราะว่าอาหารค่ำมื้อนี้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะก็ บางทีหลีมู่อาจจะไม่เรียกซูเหลียนอวิ้นให้ตื่นขึ้นมาเลยก็ได้แล้วให้นางหลับไปจนฟ้าสว่าง เพื่อจะได้ฟื้นฟูกำลังในตัวนางสักหน่อย
“ฝนหยุดตกแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเปิดหน้าต่างขึ้น “ตอนแรกยังคิดอยู่ว่าจะพกร่มออกไปด้วยดีหรือไม่”