ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 223 รูปโฉม
กลางดึกเสียงเคาะประตูเบาๆ อันคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแทรกขึ้นมาพร้อมกันด้วย
ภายในห้อง มือของซูเหลียนอวิ้นที่จับตู้หนังสืออยู่กำแน่นขึ้น เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ? เนื่องจากเรื่องนี้คล้ายว่าจะตรงกับในนิยายที่เรียกว่า…ชุมนุมลับกลางราตรี?ต้วนเฉินเซวียนที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ได้คาดหวังว่าซูเหลียนอวิ้นจะตอบดีๆ หรือเชิญให้เขาเข้าไป เพราะในตอนนี้…ขอแค่นางไม่ส่งคนออกมาไล่เขากลับไปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!
ดังนั้นแล้ว บางครั้งขีดจำกัดของคนก็น้อยเพียงนี้ หลังจากที่เคยลิ้มรสของไม้ตะพดมาแล้ว เมื่อเห็นท่าทางนิ่งเงียบไร้วาจาของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ เขาจึงรู้สึกว่าท่าทางของนางเช่นนี้ดีมากแล้ว! “ดูท่าแล้วใจของพวกเราคล้ายจะสื่อถึงกันได้นะ” ต้วนเฉินเซวียนผลักประตูเข้ามาอย่างคุ้นเคยแล้วเอ่ยทักขึ้น “หรือว่าอวิ้นเอ๋อร์ชินเสียแล้ว ชินที่ข้าชอบมาหาเจ้าตอนดึกๆ เช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดดึกขนาดนี้เจ้าถึงยังอ่านหนังสืออยู่อีกเล่า”
ต้วนเฉินเซวียนกวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ที่สามารถนั่งได้จึงย้ายก้นของตัวเองไปนั่งลงบนที่นั่งด้านข้างซูเหลียนอวิ้นที่ยังพอเหลืออยู่ในความเป็นจริงห้องของซูเหลียนอวิ้นไม่ถือว่าเล็ก ดังนั้นแล้วจะไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ได้อย่างไร ทว่าในสายตาของต้วนเฉินเซวียนเก้าอี้เหล่านั้นถือว่าห่างไกลเกินไปนัก!
ตอนนี้หูของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาจึงจำเป็นต้องเข้าไปนั่งเผชิญหน้าใกล้ๆ กับซูเหลียนอวิ้นถึงจะฟังได้อย่างถนัด!
“ท่านฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ จากนั้นจึงปิดตำราที่อยู่ในมือของตนเสียงดัง ‘ปัง’
“ข้าเคยขอให้ท่านมารึ ทุกครั้งที่ท่านมาก็ไม่เคยได้รับเชิญมาสักครั้ง แต่มาก็ดีแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องอยากถามท่านเช่นกัน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยพลางขยับตัวออกมาด้านข้างเล็กน้อย
ด้วยสถานะของทั้งคู่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่ค่อยเหมาะที่จะใกล้ชิดกันขนาดนี้กระมัง คำพูดที่ว่าระยะห่างจะทำให้เกิดความสวยงามเกรงว่าคงจะไม่ใช่คำพูดไร้เหตุผล
เนื่องจากท่าทีของต้วนเฉินเซวียนที่มักจะชอบเข้ามาใกล้ชิดกับนางนั้น…ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ทำให้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และไม่คุ้นชินอย่างมากจนขนของนางลุกซู่ทั้งตัว
ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วแล้วมองดูซูเหลียนอวิ้นที่ค่อยๆ เขยิบตัวเองออกไปอย่างขบขัน ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ได้เขยิบตามเข้าไปประชิดอีก
นั่นเป็นเพราะจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า…มีสายตาจ้องเขม็งลงมาจากบนคานห้อง สายตานั้นกำลังจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา!
เมื่อมีคนหลายคนกำลังจ้องมองอยู่ ดังนั้นต่อให้หน้าของต้วนเฉินเซวียนหนามากเพียงใดก็คงไม่กล้าลงมือทำเช่นกัน!
“ที่งานหมั้นพังเป็นเพราะฝีมือของท่านใช่หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกพยายามให้ตัวเองหันไปมอต้วนเฉินเซวียนด้วยสายตาดูแคลนไร้ความรู้สึก
“ที่ใดกันเล่า!” ต้วนเฉินเซวียนเห็นสายตาดูแคลนตนจากซูเหลียนอวิ้นดังนั้นกลับไม่รู้สึกว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังรังเกียจตน หนำซ้ำยังรู้สึกว่า…นางเล่นหูเล่นตาให้ตนอีกต่างหาก!คำพูดที่บอกเอาไว้ว่าไม่ว่าคนที่เรารักจะทำอะไรก็ดูดีไปหมดนั้นเป็นเช่นนี้นี่เอง! คนกลอกตาให้ยังเห็นว่าเขาเล่นหูเล่นตาให้!
ดังนั้นต้วนเฉินเซวียนจึงตอบรับสายตาของซูเหลียนอวิ้นด้วยท่าทีเล่นๆ ด้วยการหยักคิ้วหลิ่วตากลับไป เพื่อเป็นการเอาคืน จากนั้นถึงจะเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ายังอยากจะหมั้นอยู่อีกหรือ”ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วเม้มปากแน่น นางไม่เอ่ยตอบ จากนั้นจึงแอบลูบแขนของตนเองโดยหวังว่าจะช่วยขจัดความหนาวได้ นั่นเป็นเพราะสายตาของต้วนเฉินเซวียนที่มีต่อนางนั้นช่างน่า…
คนมีรูปโฉมดี ดวงตามักจะมีเสน่ห์ดึงดูดตามไปด้วยนางช่างอ่อนหัดเสียจริง! ให้สายตาเพียงเท่านี้มาทำให้เกราะที่นางเตรียมเอาไว้ป้องกันพังทลายหายไปไม่เหลือซาก! ดังนั้นหากเอาตนไปเทียบกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว แม้ว่านางจะอยู่มานานกว่าหนึ่งชาติก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้อยู่ดีกระมัง
“ฮ่าๆ ไม่ต้องหมั้นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นตัดสินใจว่าจะก้มหน้าไว้อย่างนี้ไม่มองไปที่สายตาของต้วนเฉินเซวียนอีก เพราะหากตนไปหลงเสน่ห์เขาขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร
“เพราะเจ้าต้องแต่งงานแทน” ต้วนเฉินเซวียนพูดอีกครึ่งประโยคหลังที่เหลืออยู่ในใจแทนซูเหลียนอวิ้น “และคู่แต่งงานของเจ้าคงมีแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ท่านโหวช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริง” เดิมทีซูเหลียนอวิ้นตั้งใจว่าจะเงียบต่อไปเรื่อยๆ ทว่าทนน้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนไม่ไหว เพราะทันทีที่เสียงเข้าหูนาง นางก็รู้สึกเพียงว่าฟังแล้วระคายหูนัก! จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกัดจิกเขากลับไปสักประโยคสองประโยค!
“นี่มิใช่ความมั่นใจ แต่เป็นความจริงต่างหาก”
“จริงสิท่านโหว ข้าน้อยขอถามท่านสักข้อหนึ่งได้หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นตั้งใจว่าจะไม่พูดถึงคำถามเมื่อครู่นี้อีกแล้ว เพราะในตอนแรกคล้ายว่านางเป็นผู้กุมอำนาจต่อรองทั้งหมดเอาไว้ ทว่าเหตุใดในตอนท้ายนางถึงถูกต้วนเฉินเซวียนต้อนจนมุมจนไร้เรี่ยวแรงตอบโต้กลับได้เล่า
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ควรเปลี่ยนเรื่องพูดเถิด!
“ได้แน่นอน คำถามที่อวิ้นเอ๋อร์ถาม หากข้ารู้ข้าจะตอบเจ้าอย่างหมดเปลือก” ต้วนเฉินเซวียนกระพริบตาปริบๆ เพื่อให้แววตาของตัวเองดึงดูดคนอื่นมากขึ้นกว่าเดิมหน่อย
“เอ่อ คือว่า…ท่านโหวรู้คำสอนของตระกูลซูหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นกำลังแอบคิดทบทวนในใจว่า บางทีคนอย่างต้วนเฉินเซวียนอาจจะมีบุคลิกอีกอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉานในศาสตร์การพูดเชิงวาทศิลป์มาตั้งนานแล้ว?เมื่อชาติที่แล้วต้วนเฉินเซวียนไม่ได้พูดมากเช่นนี้! เหตุใดในตอนนี้คำพูดของเขาถึงได้พรั่งพรูออกมาเป็นชุดๆ ได้
หากตอนนี้ในใจของนางไม่ได้กำลังพยายามเตือนตัวเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว เพื่อทำให้ตนหูตาสว่างขึ้นมานั้น เกรงว่าตอนนี้นางอาจจะตกหลุมรักคนผู้นี้หัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้นอีก
“คำสอนของตระกูลซูรึ” ต้วนเฉินเซวียนหลุบตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “อ้อ เรื่องนั้นกระมัง ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว”
คำสอนของตระกูลซูนั้น บุรุษที่อยู่ในตระกูลจะต้องเลือกคู่แต่งงานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากบุรุษของตระกูลซูมีโอกาสแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต รวมทั้งเรื่องราวหลังบ้านต่างๆ ก็ไม่อนุญาตให้มีบ้านเล็กบ้านน้อยไว้ดูแล! แต่แน่นอนว่าหากมีอายุจนถึงสี่สิบปีแล้วแต่ยังไม่มีทายาทเป็นผู้ชายเลยสักคน หากเป็นเช่นนั้นถึงจะอนุญาตให้มีอนุภรรยาได้ ภรรยามีได้เพียงคนเดียวตลอดไป ส่วนอนุภรรยานั้นไม่มีวันที่เรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นด้วยคำสอนของตระกูลที่เป็นเช่นนี้ ตัวเลือกที่จะมาเป็นสะใภ้ในตระกูลซูก็ไม่จำเป็นต้องมีชาติกำเนิดที่สูงส่งนัก ขอเพียงคนผู้นั้นเป็นคนดีและขอให้ทั้งสองฝ่ายรักกัน การแต่งงานก็จะลงเอยกันได้
แต่หากแม้แต่การดูภรรยายังดูไม่เป็นว่ามีนิสัยใจคอดีจริงหรือไม่ หรือยังมองไม่ออกว่าคนผู้นี้มีความจริงใจหรือไม่แล้วด่วนแต่งงานไป สุดท้ายแล้วก็ต้องไปนั่งเสียใจภายหลัง หากไปถึงตอนนั้นแล้วสินค้าก็ไม่อาจคืนได้แล้ว!นั่นเป็นเพราะตนเป็นคนเลือกคู่ครองเอง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คงทำได้เพียงอดทนไว้เท่านั้น! เพราะเรื่องนี้หากจะโทษก็คงโทษได้เพียงตัวเองคนเดียวเท่านั้นที่มีตาหามีแววไม่!
คำพูดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎที่บรรพบุรุษตระกูลซูเอ่ยออกมาด้วยปากของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่านิสัยหัวแข็งที่ฝังอยู่ในกระดูกของคนตระกูลซูนั้น อันที่จริงแล้วครึ่งหนึ่งนั้นสามารถสันนิษฐานได้ว่ามาจากบรรพบุรุษผู้นี้นั่นเอง