ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 227 เถ้าแก่น้อย
เพียงไม่กี่ก้าว หลิวจือก็พุ่งตัวเข้าไปขวางอยู่ด้านหน้าอวี่ซางแล้วใช้แขนเสื้อปิดหน้าของตนเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างขำขันว่า “เจ้าเด็กน้อย เมื่อครู่นี้เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้ากำลังจะไปที่ใด”
ประสาทไปแล้วหรือ อวี่ซางแอบด่าในใจ กลางวันแสกๆ กลับมาคอยตามถามเขาว่าเขาจะไปที่ใดอยู่ได้? เขาจะไปที่ใดแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับคนเบื้องหน้าผู้นี้ด้วย อีกอย่างกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เมื่อครู่นี้เขาก็เห็นแล้วว่าชายผู้นี้โฉมหน้าเป็นเช่นใด ดังนั้นเจ้าจะเอาแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าไปเพื่ออะไรกัน
“เจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย!” อวี่ซางตอบกลับอย่างแข็งกระด้าง “สุนัขที่ดีจะต้องไม่ขวางทางคน[1] เจ้ารีบหลีกทางไปเดี๋ยวนี้!” นี่เป็นภารกิจครั้งแรกที่คุณหนูของเขามอบให้เขาลงมือเพียงลำพังเชียวนะ! ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้จงได้!
ทว่าการปรากฏตัวของคนผู้นี้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น และสุดท้ายหากส่งผลให้ภารกิจนี้ไม่เป็นไปตามแผนเล่า เช่นนั้นเขาจะต้องจัดการคนผู้นี้ให้สิ้นซาก! เนื่องจากตอนนี้…คล้ายว่าใกล้จะสายเกินไปเสียแล้วกระมัง
“ประโยคนี้กล่าวได้ดียิ่ง” หลิวจือหันตัวขวางการขยับตัวของอวี่ซางเอาไว้ “สุนัขที่ดีต้องไม่ขวางทางคน แต่ข้ามิใช่สุนัขถูกหรือไม่ ดังนั้นเส้นทางนี้ข้าไม่ให้เจ้าไป เจ้าจะทำอะไรข้าได้” นายท่าน ท่านรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเสียที! ที่เขายืนพูดอยู่ตรงนี้เขารู้สึกลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว!
เนื่องจากเจ้าเด็กคนนี้แม้ว่าจะดูทึ่มๆอยู่บ้าง แต่หากเขายังยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าเขาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเมื่อเจ้าเด็กทึ่มนี่กลับไปแล้วจะจำเขาไม่ได้! และหากเขาจำได้ขึ้นมานั่นจะมิวุ่นวายกันไปใหญ่หรือ
เนื่องจากอีกไม่นานคุณหนูซูก็จะต้องแต่งเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้เป็นต้นไปเขากับองครักษ์ประจำตัวของคุณหนูซู หากก้มหน้าไม่เห็นกันแต่เงยหน้าก็จะเห็นกันอยู่ดี?[2]
ดังนั้นหลิวจือจึงภาวนาอย่างบริสุทธิ์ใจให้เจ้านายของเขารีบจัดการภารกิจให้เสร็จเร็วๆ ด้วยเถิด! เพราะหากไม่ลงไม้ลงมือกันจะถ่วงเวลาเขาไว้ได้อย่างไร สถานการณ์ตอนนี้จึงจัดการยากทีเดียว!
ณ ร้านอู่เซียงเก๋อ
ต้วนเฉินเซวียนเคลื่อนตัวเข้าทางประตูหลังอย่างคุ้นเคย จากนั้นจึงเคาะประตูส่งสัญญาณสองครา จากนั้นจึงถือโอกาสเดินเข้าไปด้านในทันที
บริเวณประตูหลังถือเป็นสถานที่ตั้งสำคัญอย่างห้องครัวและถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่สุดของโรงเตี๊ยมและร้านอาหารต่างๆ ดังนั้นตอนนี้เมื่อมีคนแอบย่องเข้าไปด้านในเช่นนี้ ในจังหวะที่คนในครัวหันมาเห็นต้วนเฉินเซวียนนั้นต่างพากันหยิบมีดขึ้นมาด้วยแล้วจ้องมายังต้วนเฉินเซวียนอย่างอาฆาต
“เถ้าแก่น้อย?” ทว่ายังดีที่ที่นี่มีคนสายตาดีมองออกอยู่
พ่อครัวตัวอ้วนพุงกระเพื่อมผู้หนึ่งหลังจากเช็ดมือเรียบร้อยแล้ว ก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมายังเข้ามาหาพลางเอ่ยว่า “เถ้า เถ้าแก่น้อย? เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ตอนนี้ได้”
“นี่คือเถ้าแก่น้อยของพวกเราหรือ” พ่อครัวคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เริ่มซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ เพราะแม้ว่าต้วนเฉินเซวียนจะเป็นผู้ที่ควบคุมที่นี่ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขามาปรากฏตัวที่ห้องครัวต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรก
“เถ้าแก่น้อยของพวกเราอายุน้อยเพียงนี้เชียวหรือ นี่ต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้มากทีเดียว!”
“เจ้ารู้อะไรบ้าง! เถ้าแก่น้อยก็ต้องอายุน้อยสิ! อายุเท่านี้สิถึงจะเหมาะสม!”
“แต่เพราะเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเถ้าแก่น้อยของเราหน้าตาคุ้นตานัก คล้ายว่าเคยเห็นหน้าที่ไหนสักที่…”
พ่อครัวตัวอ้วนที่เพิ่งกระหืดกระหอบเมื่อครู่นี้ยืนอยู่ด้านหน้าของต้วนเฉินเซวียนแล้วและเพิ่งจะได้สติคืนมาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้!” การเปิดปากของเขาครั้งนี้ถือว่าน่าเกรงขามมากทีเดียว! ในห้องพลันเงียบสงบลงทันทีโดยไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีก
“เถ้าแก่น้อย ท่านมาที่นี่ด้วยธุระอะไรหรือขอรับ” พ่อครัวอ้วนผู้นั้นเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาเม็ดสองเม็ด
ตรงหน้าผากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
“ไม่มีอะไร” ต้วนเฉินเซวียนมองไปรอบๆ แล้วมองหาขนมบัวหิมะกุหลาบว่าทำอยู่ตรงไหน “ข้ามาหาของบางอย่าง”
“มาหาของ?” พ่อครัวอ้วนผู้นั้นกระพริบตาคู่น้อยเท่าเมล็ดถั่วเขียวของเขาปริบๆ น้ำเสียงของเขาเริ่มติดขัด “คือว่า คือว่าข้าไม่เคยได้ยินเลยว่าท่านได้สั่งของอะไรไว้ที่ร้านอู่เซียงเก๋อช่วงนี้…” ผู้ที่จัดการข่าวลือจัดการข่าวอย่างไรกัน! เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดปิดเอาไว้! หากเขากลับไปจะจัดการพวกคนขี้เกียจพวกนี้อย่างไรดี!
“ไม่ได้สั่งเอาไว้” ต้วนเฉินเซวียนขยิบตา “แต่ข้าขอสั่งตอนนี้ได้หรือไม่”
“ได้ๆๆ เถ้าแก่น้อยอยากสั่งอะไรก็ได้ขอรับ” เถ้าแก่น้อยของร้านอู่เซียงเก๋อเอ่ยปากออกมาเอง พวกเขาล้วนเป็นแรงงานชั้นล่าง จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร
“ข้าอยากได้ขนมบัวหิมะกุหลาบห่อกลับบ้าน เร็วเข้า”
“ขนมบัวหิมะกุหลาบ…”
“ทำไมหรือ มีปัญหาอะไร” ต้วนเฉินเซวียนฟังความลังเลในน้ำเสียงของคนตรงหน้าออก “ขายหมดแล้วหรือ”
“ยังไม่หมดแน่!” พ่อครัวผู้นั้นส่ายหน้าเสียจนแก้มยุ้ยๆ ของเขากระเพื่อมตามไปด้วยพลางเอ่ยตอบ “คงจะไม่หมดเร็วขนาดนั้นกระมัง…”
น่าจะ? อย่าขายหมดเร็วขนาดนั้นเลยขอร้องล่ะ!
หากเขารู้แต่แรกว่าเถ้าแก่น้อยผู้นี้จะมา วันนี้เขาคงจะเตรียมของทุกอย่างไว้ให้เขาอย่างละชุดแน่!
“เสียวหลี่ ตอนนี้ขนมบัวหิมะกุหลาบยังมีเหลืออยู่หรือไม่”
“คือว่า…” แม้ว่าพ่อครัวที่ชื่อเสียวหลี่จะเป็นคนใหม่ แต่ความเฉลียวฉลาดของเขานั้นกลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในร้านแห่งนี้
เขามิใช่คนตาบอด เมื่อเขาเห็นพ่อครัวใหญ่ของตัวเองก้มหัวให้กับบุคคลเบื้องหน้าเช่นนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจว่าฐานะของคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนจึงเอ่ยว่า “น่าจะยังพอมีอยู่ แต่หากไม่มี วันนี้พวกเรายังมีวัตถุดิบเหลืออยู่มาก จะทำเพิ่มอีกสักชุดก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อพ่อครัวร่างท้วมได้ยินคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยินเช่นนั้นจึงถอนใจ เมื่อครู่นี้เขาเดินเข้าไปประชิดเสียวหลี่และสะกิดเขาอย่างรุนแรง เขาจึงพอเข้าใจว่าควรจะตอบอย่างไร
ต่อให้ของถูกขายออกไปหมดแล้ว แต่หากเถ้าแก่น้อยต้องการ พวกเราก็ต้องทำออกมาให้สร็จจงได้!
ต้วนเฉินเซวียนกลับไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น เพราะเขารู้สึกว่าเขามาเร็วมากแล้วแต่กลับมาบอกเขาว่าของขายหมดแล้วและเขาต้องรอก่อน? หากเริ่มทำตอนนี้แล้วจะกลับไปทันก่อนเวลาเที่ยงได้อย่างไร? เนื่องจากในตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นได้จำกัดเวลาเอาไว้แล้ว โดยให้ข้อแม้ว่านางต้องได้กินตอนเที่ยง!
“ข้าจะต้องเอากลับไปตอนเที่ยง ทำทันหรือไม่”
“น่าจะทัน เถ้าแก่น้อยรอประเดี๋ยว” ทว่าเมื่อเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกไปแล้ว พ่อครัวร่างอ้วนกลับไม่ได้วางใจ
เนื่องจากขนมบัวหิมะของร้านอู่เซียงเก๋อ หากจะทำขึ้นมาสักหนึ่งชิ้น ขั้นตอนถือว่าไม่ยุ่งยากมาก เพราะไส้ขนมได้ทำไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วจำนวนมากจึงถือว่าเป็นของที่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว
ทว่าวิธีทำแป้งภายนอกของขนมบัวหิมะนั้น…จะต้องเอาวางทิ้งไว้ในตู้เย็นก่อนถึงจะอร่อย ปกติแล้วพวกเขาจะต้องเอาแช่ไว้ในตู้เย็นก่อนหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นถึงจะเอาออกมาขายได้
ทว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกลับต้องการภายในเที่ยงวัน นั่นช่างเป็นเรื่องที่…
——
[1] สุนัขที่ดีจะต้องไม่ขวางทางคน ดังนั้นคนที่ดีก็ต้องไม่ขวางทางเช่นกัน
[2] ก้มหน้าไม่เห็นกันแต่เงยหน้าก็จะเห็นกันอยู่ดี หมายถึงมีโอกาสพบเจอกันบ่อย