ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 230 สุนัขจิ้งจอก
“ข้า…” ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนเป็นใบ้ไปแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนถูกก้อนหินหล่นทับเท้าตัวเอง แถมยังกระแทกแรงเช่นนั้นคืออะไรกัน นี่กระมังที่ผู้ใหญ่ว่ากันไว้ว่า ไม่ใช่ไม่แก้แค้นแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเองตอนนี้เขาเชื่อจริงๆ แล้ว! เพราะหากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว ถ้ามีคนมาบอกเขาว่าวันหนึ่งเขาจะไม่กล้าขึ้นเสียงใส่ซูเหลียนอวิ้น อีกทั้งประเด็นสำคัญคือเมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วกลับปฏิบัติกับเขาอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้
แน่นอนว่าเขาจะต้องชี้หน้าด่าคนผู้นั้นว่าเป็นบ้าแน่ เขาจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วซูเหลียนอวิ้นจะทำกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไรทว่าความจริงตอนนี้กลับปรากฏออกมาว่า ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ มีเพียงสิ่งที่เราคิดไม่ถึงเท่านั้น เรื่องราวที่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างไร้สาเหตุ
ดังนั้นต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่า ขีดจำกัดความอดทนของเขาตอนนี้เริ่มค่อยๆ ทยอยลดลงเรื่อยๆเพราะซูเหลียนอวิ้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็ดูเหมือนเป็นคนไร้เหตุผลอยู่ดี!
มิเช่นนั้นหากเป็นผู้อื่น อย่าว่าแต่เขาจะพูดจาเอาอกเอาใจเลย หากกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ก่อน เขาจะต้องรีบสั่งสอนคนผู้นั้นให้รู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร!
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าช่วยให้คำใบ้ข้าหน่อยได้หรือไม่ มิเช่นนั้นหากให้ข้าคิดเองแบบนี้ ข้าไม่มีเบาะแสอะไรเลยนะ” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าลง น้ำเสียงของเขาอู้อี้ เผยให้เห็นผมด้านบนของเขา
ดูจากท่าทางแล้วคล้ายกับสุนัขจรจัดที่เปียกฝนมาแล้วไร้บ้านให้กลับ ต่อให้ฝนด้านนอกตกแรงเท่าใด ก็ไม่มีที่ให้เขาสามารถหลบฝนได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยให้ฝนพัดผ่านบนร่างของตน โดยไม่มีทางหลบและไม่หนี
เมื่อเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเห็นใจและเกิดความสงสารอย่างจับใจ
อารมณ์พลุ่งพล่านของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ สงบลง เพราะถึงอย่างไรต้วนเฉินเซวียน…ก็เคยเป็นคนที่อยู่ในใจของนางมานาน แม้ว่าตอนนี้นาจะพูดเสียงแข็งประชดประชันเขาในทุกๆ ครั้งราวกับมิได้ใส่ใจอะไร ทว่าอันที่จริงแล้วทุกครั้งที่นางประชดประชันกลับเป็นการเพิ่มรอยแผลลงไปในหัวใจของนาง
“ช่างเถิด ท่านกลับไปคิดเอาเองก็แล้วกัน!” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน นางเบี่ยงตัวหลบต้วนเฉินเซวียนไปยังเก้าอี้ของตน จากนั้นจึงหยิบหนังสือที่ไม่รู้ว่าวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้นมา แล้วทำท่าราวกับว่ากำลังขะมักเขม้นกับการอ่าน
“ท่านกลับไปคิดเองเถิดแล้วนำของที่ท่านนำมากลับไปด้วย ครั้งนี้ถือว่าท่านไม่ได้เอามันมา ดังนั้นเรื่องที่ท่านรับปากข้าก็ถือว่าทำไม่สำเร็จ เพราะข้ายังไม่ได้กินขนมบัวหิมะกุหลาบ”
ไม่ถูก นี่มันไม่ถูกแล้ว! นิ้วมือของซูเหลียนอวิ้นกำหนังสือเอาไว้แน่น สีหน้าของนางหงิกงอ ทั้งๆ ที่นางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แล้วเหตุใดท่าทางของนางถึงอ่อนลงได้?
ตอนนั้นนางได้เตรียมคำพูดที่จะใช้ต่อว่าต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ยกใหญ่ แถมยังคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในสมองหลายครั้งแล้วด้วยว่าจะทำอะไรบ้าง!
นางคิดว่านางจะคว้าคอเสื้อของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้แล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่า ขนมที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียน้ำพักน้ำแรงต่อแถว นางไม่ต้องการ! และหากยังกล้าเล่นตุกติกอีก เช่นเล่นลูกไม้หรือให้คนอื่นไปต่อแถวแทนให้ล่ะก็ นางจะเอากล่องขนมทุ่มใส่หัวของเขาให้ดู!
ทว่าไม่ว่าในใจนางจะคิดคำพูดไว้รุนแรงเท่าใด หรือคำพูดที่แทงใจมากแค่ไหน แต่พอมาถึงตอนนี้ ท่าทางของนางกลับอ่อนลงเสียดื้อๆ
ต่อให้คิดเรื่องนี้อีกเป็นร้อยรอบก็ไม่มีประโยชน์!
เพราะหากเป็นเมื่อก่อนนางยังใช้เหตุผลที่ต้วนเฉินเซวียนพูดใส่อารมณ์กับนาง จนนางตกใจหัวหดจนไม่กล้าต่อปากต่อคำ ทว่าตอนนี้นอกจากต้วนเฉินเซวียนจะไม่ใส่อารมณ์กับนางแล้ว ยังมีท่าทียอมให้นางกลั่นแกล้งแบบนี้อีก ตามเหตุผลแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำให้นางต้องทอดถอนใจกระมัง
นี่มัน…ใครบอกนางได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“อ้อ ก็ได้” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าต่ำลงอีก ยิ่งทำให้เหมือนกับลูกสุนัขจิ้งจอกที่ผิดหวังเข้าไปอีก “เช่นนั้นข้า พรุ่งนี้ข้าจะซื้อให้เจ้าใหม่ได้หรือไม่”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนใช้สายตามองนางด้วยความเอาใจใส่อย่างไม่ปิดบังเช่นนี้ นางก็เริ่มรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าว แต่น่าเสียดายตรงที่ว่าตอนนี้นางไม่สามารถยกหนังสือให้สูงกว่านี้เพื่อใช้บังใบหน้าตนได้อีกแล้ว จึงทำได้เพียงก้มหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ได้ๆๆ หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปเถิด ข้า ข้าง่วงแล้ว”
“ได้” ต้วนเฉินเซวียนพยายามสกัดกั้นความรู้สึกอยากจะขำของตัวเองเอาไว้ “เช่นนั้นข้าขอตัวไปก่อนแล้ว”
อายก็บอกว่าอายสิ จะง่วงอะไรอีก เพิ่งจะตื่นนอนขึ้นมาแท้ๆ จะบอกว่าตัวเองง่วงอีกแล้วหรือ แค่นี้ก็คิดหาเหตุผลดีๆ ไม่ออก
“คุณหนูใหญ่!” ครู่ใหญ่ ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นแสงแดดจนเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอยู่นั้น เสียงตะโกนโวกเหวกก็ดังขึ้น ทำเอาอาการง่วงของนางเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“อวี่ซาง! เจ้าจะจะโกนทำไม!” หยาเอ่อร์ที่กำลังกวาดลานบ้านอยู่นั้นก็เริ่มร้อนใจ “คอของเจ้ามันใหญ่มากนักหรือ ตอนนี้คุณหนูใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่นะ! เจ้ามีเรื่องด่วนอะไร หากไม่มีเรื่องด่วนอะไรก็กลับไปซะ! อย่ากวนคุณหนู!”
อวี่ซางทำปากไม่พอใจพลางรู้สึกเหมือนโดนรังแก! เพราะว่าตอนแรกๆ หยาเอ่อร์เป็นคนที่เอ็นดูตนมากที่สุดมิใช่หรือ เคยขึ้นเสียงกับเขาเสียที่ไหน? แต่ตอนนี้กลับ…อวี่ซางรู้สึกราวกับว่าตอนนี้ในใจของเขามีบาดแผลสาหัส!
“อวี่ซาง มีเรื่องอะไรรึ” ซูเหลียนอวิ้นแง้มหน้าต่างออกมา “เข้ามาเถิด ข้ายังไม่ได้นอน” ถึงแม้ว่าข้ากำลังจะนอนก็ตาม แต่กลับถูกปลุกขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายของเจ้า!
“คุณหนูใหญ่…”
“มีอะไรก็รีบพูดมาตรงๆ และพูดให้เข้าประเด็นด้วย” ซูเหลียนอวิ้นยกมือบังดวงตาของตัวเองเพื่อให้ตัวเองไม่ใส่ใจท่าทางการเคลื่อนไหวของอวี่ซางมากนัก
ขออย่าให้นางได้เห็นอะไรแบบนี้อีกเลย! วันนี้นางเห็นคนท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจและพยายามออดอ้อนเพียงคนเดียวก็พอแล้ว จะให้นางเห็นอีกคนหรือ? แล้วเช่นนี้นางจะต้องทนกับความรู้สึกผิดบาปไปถึงเมื่อไหร่! ดังนั้นรีบพูดให้เข้าประเด็นเถิด!
“คุณหนูใหญ่ คือข้า…” อวี่ซางพยายามเก็บอาการความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองเอาไว้ “คุณหนูใหญ่ คุณหนูให้ข้าไปสะกดรอยตามคน สุดท้ายข้า…”
“คนหายไป สุดท้ายก็หาไม่เจอใช่หรือไม่” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางกระอึกกระอักของอวี่ซาง จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอีกครึ่งประโยคหลังแทนเขา
“คุณหนูใหญ่รู้ได้อย่างไรขอรับ” อวี่ซางเงยหน้าขึ้น ตาของเขาเบิกกว้าง
นางจะไม่รู้ได้อย่างไร! เพราะตอนนั้นหลังจากที่นางส่งอวี่ซางออกไปได้ไม่นาน นางก็เกิดความรู้สึกว่าหากนางใช้ให้อวี่ซางรับภารกิจนี้เพียงคนเดียว นั่นอาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเขา!
เนื่องจากในบรรดาองครักษ์ทั้งหมด อวี่ซางถือเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยออกไปปฏิบัติภารกิจตามลำพังมาก่อน ดังนั้นงานนี้…การสะกดรอยตามต้วนเฉินเซวียน นางคงจะต้องหาคนอีกคนหนึ่งไปกับเขาด้วยกระมัง
ดังนั้นในตอนนั้น คนที่มารายงานผลเรื่องราวของต้วนเฉินเซวียนกับนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงเป็นผูหลิว