ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 236 ของโปรด
“สวัสดี ขอทางหน่อยได้หรือไม่” หลีมู่เดินเข้าไปยังแถวที่อยู่ใกล้ๆ ตนเองแล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอื้อนเอ่ยเผื่อจะมีโอกาสให้นางได้เบียดเข้าไปและเอาน้ำชาเข้าไปส่งได้
คนที่ยังสามารถเข้าแถวอยู่ตรงนี้ได้ล้วนเป็นชายกำยำบึกบึนทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อมีสตรีรูปร่างอรชรที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งตัวไม่เหมือนอย่างทั่วๆ ไปเดินมาเช่นนี้ คนกลุ่มนี้จึงไม่อยากพยายามเบียดนางออกไปให้พ้นๆ เช่นเดียวกับชายที่พยายามเข้ามาใกล้ๆ แถวพวกนั้น
เมื่อเงื้อมมือขึ้นแต่เห็นใบหน้าแย้มยิ้มจึงไม่อยากลงมือ
น้ำเสียงของสตรีนางนี้ในการเจรจานั้นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อคิดๆ ดูแล้ว สตรีนางนี้คงจะไม่ใช่คนที่ตั้งใจเข้ามาแซงแถวกระมัง เช่นนั้นก็ให้นางไปเถิด!
“ขอบใจจ้ะ” หลีมู่เอ่ยขอบคุณคนที่ยอมหลบทางให้ตนอย่างอ่อนโยน ดังนั้นเดินไปไม่กี่ก้าวนางก็เดินไปจนถึงตัวของต้วนเฉินเซวียน
ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าด้านหลังของตนมีคนๆ หนึ่งกำลังมุ่งเข้ามาหาเขา เขาจึงเข้าใจว่าเป็นหันชิงอวี่ที่หายเจ็บแผลแล้วและกล้ากลับมาเพื่อเอาคืนเขา! ตอนนั้นเองจึงหันหน้าไปข้างหลังแล้วยกหมัดขึ้นเตรียมจะต่อสู้
“หลี แม่นางหลีมู่?” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหลีมู่มาปรากฏอยู่ด้านหลังตัวเองเช่นนี้ ตอนนั้นเขาก็เริ่มรู้ตัวขึ้นมาลางๆ เพราะหลีมู่อยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าซูเหลียนอวิ้นจะต้องอยู่ไม่ไกลอย่างแน่นอน
หลีมู่เบิกตากว้างแล้วมองอย่างฉงนไปที่กำปั้นของต้วนเฉินเซวียนที่ยกขึ้น ตอนนั้นเองที่นางไม่เข้าใจว่าต้วนเฉินเซวียนกำลังจะทำอะไร เพราะท่าทางของเขาดูแล้วน่าจะอยาก…แต่คงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นกระมัง
ต้วนเฉินเซวียนดึงมือของตัวเองกลับอย่างนิ่งสงบแล้วเอามือมาเกาศีรษะ ราวกับว่ามือของตนที่ยกขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดแค่อยากจะยกขึ้นมาเพื่อเกาศีรษะเท่านั้น!
“นี่คือน้ำที่คุณหนูให้บ่าวเอามาให้คุณชายเจ้าค่ะ” หลีมู่เองก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรมากนัก ในเมื่อต้วนเฉินเซวียนตอบกลับเช่นนี้ นางก็ต้องใช้บันไดนี้ในการเดินต่อไปโดยที่ไม่เอ่ยอะไรมากนัก นางส่งกาน้ำที่ซูเหลียนอวิ้นให้นางมาให้เขา
ต้วนเฉินเซวียนรับกาน้ำมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนั้นเขาจึงไร้คำพูดเพราะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกไปดี เพราะว่า…นี่ซูเหลียนอวิ้นให้คนเอากาน้ำมาให้เขาเชียวหรือ! นั่นแสดงว่าการเดินหมากของเขาครั้งนี้มาถูกทางแล้ว!
จริงอย่างที่เขาว่ากันไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไร วิธีการทำให้ตัวเองน่าเห็นใจเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด!
“เช่นนั้นบ่าวขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ” หลีมู่ค้อมตัวเพื่อจะถอยหลังจากไป
“อืม” ต้วนเฉินเซวียนได้สติกลับมา ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าแสงแดดที่แผดเผาอยู่บนตัวของเขานั้นไม่ร้อนอีกต่อไป! แม้แต่สถานที่ที่เบียดเสียดเช่นนี้ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากธรรมดา!
“อีกไม่นานแถวก็จะถึงข้าแล้ว!” ต้วนเฉินเซวียนชี้ไปยังแถวข้างหน้า “ให้คุณหนูของเจ้าวางใจได้เลย ครั้งนี้จะต้องซื้อมาได้อย่างแน่นอน!”
น่าจะซื้อได้นะ….? ไม่รู้แหละ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าของร้าน หากเขาบอกว่าซื้อได้ก็ต้องซื้อได้!
“เจ้าค่ะ…” หลีมู่พยักหน้าช้าๆ ที่แท้คุณชายต้วนมาต่อแถวเพื่อคุณหนูของตนหรือ นางก็นึกว่ามาต่อแถวให้ฮูหยินจางเสียอีก!
“รอเดี๋ยวๆ เจ้าอย่าเพิ่งไป!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ต้วนเฉินเซวียนก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงดึงแขนเสื้อของหลีมู่เอาไว้เบาๆ เพื่อให้นางรู้ว่าด้านหลังมีคนดึงนางเอาไว้แล้วปล่อยมือ “มารดาของอวิ้นเอ๋อร์ชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ท่านย่าของอวิ้นเอ๋อร์ด้วย พวกนางชอบกินอะไร” ถึงอย่างไรก็เข้าแถวแล้ว เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้ซื้อของที่อันเพ่ยอิงและคนอื่นๆ ชอบไปด้วยเลย!
หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อเขาส่งขนมไปให้ก็เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนไปเลยว่าต่อจากนี้เขาจะเข้าตามตรอกออกตามประตูอย่างถูกต้อง ไม่ต้องแอบปีนกำแพงเข้าไปในจวนตระกูลซูอีกต่อไป แถมยังเป็นการเอาใจอนาคตแม่ยายของตัวเองอีกด้วย! ปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัวชัดๆ!
“คุณชายต้วนอยากรู้เรื่องนี้เองหรือ” หลีมู่หัวเราะ จากนั้นจึงตอบออกไปว่า “ฮูหยินของพวกเราชอบกินขนมดอกฝูหลงของที่นี่ ส่วนฮูหยินใหญ่ชอบกินขนมถั่วทอง นายท่านกับคุณชายใหญ่ไม่ค่อยสนใจขนมพวกนี้มากนัก ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าชอบทานอะไรเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้เอง” ต้วนเฉินเซวียนรีบจำชื่อของทั้งสองไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพยักหน้า “ขอบคุณเจ้ามาก”
“ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ” ในฐานะที่นางเป็นสาวใช้คนสนิทของซูเหลียนอวิ้น และเป็นสาวใช้คนเดียวที่คอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของซูเหลียนอวิ้น เรื่องราวใดก็ตามของซูเหลียนอวิ้น นางล้วนรู้ทั้งสิ้น!
ส่วนต้วนเฉินเซวียน? ในสายตาของหลีมู่เขาเป็นอนาคตนายท่านของตน และจะต้องเป็นผู้ที่กุมมือคุณหนูของตนไปจนเฒ่าจนแก่ ดังนั้นเมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนใส่ใจซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ ทั้งยังใส่ใจคนในตระกูลซูด้วย ตัวนางจึงรู้สึกสุขใจอย่างมาก!
“อ้อ คุณชายต้วน” จู่ๆ หลีมู่ก็นึกถึงคำพูดที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยบนรถม้าประโยคนั้น “ขนมที่คุณหนูชอบคือขนมเปี๊ยะชาเขียวไส้ถั่วแดง ท่านลองดูเถิดหากขนมยังเหลืออยู่ก็อาจติดมือกลับมาด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” ชอบขนมนี้ด้วยหรือ…ทันใดนั้นความรู้สึกของต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อตัวเองรู้สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นชอบ เขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา!
“หลีมู่ เหตุใดเจ้าจึงกลับมาช้าขนาดนี้” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลีมู่หายไปนานกว่าจะกลับมา นางก็วางชาดที่นางหยิบขึ้นมาดูกลับลงไปบนชั้นวางเช่นเดิม แล้วมุ่งหน้าเดินรุดเข้าไปหาหลีมู่
“คุณหนูใหญ่!” หลีมู่เองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เองนางอยากจะเอาคำพูดดีๆ เหล่านั้นที่ต้วนเฉินเซวียนพูดกับตนมาเล่าให้คุณหนูของตนฟังจะแย่อยู่แล้ว!
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นหยุดฝีเท้าลง นี่หลีมู่เป็นอะไรไป? นางก็แค่…ให้หลีมู่เอาน้ำออกไปให้เขาเท่านั้นเองมิใช่หรือ ไม่ได้ให้นางไปทำอย่างอื่นด้วย ทำไมถึงยิ้มหน้าบานกลับมาเช่นนี้
หรือว่าระหว่างทางที่นางกลับมา หลีมู่ไปเก็บเงินใครมา หรือไม่ก็ได้โชคลาภอะไรมาสักอย่าง? มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงต้องดีใจขนาดนี้ด้วย! ยิ้มจนตาทั้งสองแทบจะปิดเข้าด้วยกันอยู่แล้ว!
“คุณหนูใหญ่!” หลีมู่ยืนอยู่ข้างหน้าซูเหลียนอวิ้น
“ข้าอยู่นี่!” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับ หลังจากที่นางตอบรับแล้วนางก็กลืนน้ำลายแล้วเหลือบไปมองซูมั่วเยี่ย
ซูมั่วเยี่ยเองก็ไม่เข้าใจท่าทางดีอกดีใจเช่นนี้ของหลีมู่เช่นกัน แต่เขาก็ยังพยายามเอ่ยถามออกไปอย่างนุ่มนวลว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอวิ้นเอ๋อร์หรือไม่ ไหนลองเล่ามาให้ข้าฟังซิ”
“ก็คุณชายต้วน” หลีมู่ลดเสียงเบาลง เพราะตอนนี้จดหมายเชิญงานแต่งงานยังพิมพ์ไม่เสร็จ ดังนั้นคนในเมืองหลวงส่วนใหญ่จึงยังไม่รู้เรื่องนี้
หลีมู่มองไปรอบๆ ด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสังเกตมายังพวกตนก็เอ่ยต่อไปว่า “คุณชายต้วนมีใจให้คุณหนูจริงๆ เจ้าค่ะ! ต่อจากนี้คุณหนูก็สบายใจได้เลย!”