ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 242 ลองชุด
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าอยู่แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อน “อีกอย่างเจ้าจะพาคนของเจ้าไปด้วยก็ได้ พาองครักษ์ห้าคนของเจ้าไปด้วยอย่างไรเล่า เท่านี้เจ้าก็วางใจได้แล้วกระมัง”
“อืม…ได้!” หากไม่ได้ไปคนเดียว ความน่ากลัวและโอกาสที่จะทะเลาะกันก็จะลดลงน้อยไปมากทีเดียว!
“อย่างนั้นก็ไปกันเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นออกจากห้องไป พร้อมกระซิบบอกผูหลิวและคนที่เหลือว่านางกำลังจะไปไหน จากนั้นจึงถามว่าจะมีผู้ใดไปกับนางบ้าง หากไม่อยากไปก็อยู่ที่นี่เฝ้าเรือนกับหลีมู่ไปก็ได้!
กลายเป็นว่าทุกคนต่างพร้อมใจกันหมด ทุกคนต่างพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกคนเป็นห่วงคุณหนู! ทุกคนขอไปด้วย!
ซูเหลียนอวิ้นมองแววตาที่มีประกายความตื่นเต้นของทุกคนแล้วก็เบือนหน้าหนี เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาไม่อยากปฏิเสธเรื่องราวสนุกๆ ที่นานๆ ทีจะเกิดขึ้นต่างหาก! จะมาเป็นห่วงนางอะไรกัน! เหตุผลไร้สาระ!
ระหว่างทางต้วนเฉินเซวียนพยายามเกลี้ยกล่อมซูเหลียนอวิ้นว่าวิชาตัวเบาของนางไม่ดีนัก หากให้นางเดินไปเองเช่นนี้จะพลอยทำให้ผู้อื่นช้าไปด้วย ดังนั้นตลอดทางต้วนเฉินเซวียนจึงอุ้มซูเหลียนอวิ้นไปยังจวนจิ้งอันโหว
แน่นอนว่าซูเหลียนอวิ้นต้องพยายามขัดขืน เพราะถึงอย่างไรด้านหลังก็ยังมีคนจับตามองอยู่! นางก็ยัง…ต้องรักษาหน้าตัวเองอยู่เหมือนกัน!
ทว่าท่าทีของหยาเอ่อร์แสดงอย่างชัดเจนว่า พวกเขานั้นป่วยเป็นโรคตาพร่ามัวที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาเองจึงทำให้มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น! ดังนั้นคุณหนูไม่ต้องกังวล! พวกเรามองไม่เห็นท่านแม้แต่น้อย!
ต้วนเฉินเซวียนแอบชื่นชมท่าทีของหยาเอ่อร์ที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น องค์รักษ์เช่นนี้ของนาง นับว่าเป็นองครักษ์ที่มีคุณสมบัติที่ควรมี! หากเปรียบเทียบกับหลิวจือแล้ว…เฮ้ออ!
“ถึงแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนวางซูเหลียนอวิ้นลง จากนั้นจึงรีบถอยหลังไปสองสามก้าว “เจ้าเข้าไปเองเถิด พวกเราจะรออยู่ข้างนอก”
คงชินแล้ว ต้วนเฉินเซวียนคงรู้มานานแล้วว่าซูเหลียนอวิ้นในเวลานี้อย่าเข้าใกล้จะดีที่สุด! เพราะหากเข้าใกล้แล้วมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะโดนถีบจนกระเด็นออกมา
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนถอยหลังไปเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก เพราะวรยุทธ์ของต้วนเฉินเซวียนเป็นอย่างไร นางเข้าใจแจ่มแจ้งดี แต่ทุกครั้งเขาก็มักจะยอมโดนนางถีบเช่นนั้น ตอนนี้เขาเลยมีความเคยชินกับปฏิกิริยาเช่นนี้แล้ว ถือว่าเป็นภาพที่เหนือความคาดหมายของนางเช่นกัน!
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางเพียงเดินเข้าไปในห้องอย่างอารมณ์ดี จากนั้นเมื่อนางเข้าไปในห้องแล้วสิ่งแรกที่นางเห็นคือชุดอันแสนงดงามที่เปล่งประกายอยู่บนเตียง
“สวยจัง…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง แล้วหยิบชุดขึ้นมาอย่างระมัดระวังเพื่อมองดูใกล้ๆ อย่างละเอียด
สีแดงเป็นสีที่นางชอบมากที่สุด อีกอย่างสีแดงแบบชุดเจ้าสาวนี้ เป็นสีแดงที่แดงอย่างแท้จริงที่สุด ทำให้นางเห็นเพียงคราเดียวก็ไม่อาจทำใจวางลงได้
“ต้วนเฉินเซวียน ในห้องนี้ไม่มีกระจกหรือ” ผ่านไปพักใหญ่ในขณะที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนั้น เสียงของซูเหลียนอวิ้นก็ดังออกมาจากด้านใน
“กระจก?” ต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิด “คล้ายว่าไม่มี”
“อ้อ…”
“เป็นอะไรไป มีปัญหาอะไรหรือ” ต้วนเฉินเซวียนเข้าไปแนบใกล้ๆ ประตู แล้วตะเบ็งถามออกไปจนลูกกระเดือกสั่น หากเขาไม่มีสติสัมปะชัญญะอยู่มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะพังประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยถามอะไรทั้งนั้น
“คือข้า…” ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงของที่อยู่ในมือของตน นางไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี “ช่างเถิด ท่านเข้ามาด้านในเถิด”
ต้วนเฉินเซวียนรอประโยคนี้มานานแล้ว ดังนั้นยังไม่ทันสิ้นเสียงของซูเหลียนอวิ้น เขาก็ยื่นมือออกไปผลักประตูเข้าไปทันที
ด้านในห้อง ซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งอนู่บนเตียง นางกำลังกลัดกลุ้มอยู่ในชุดเจ้าสาวที่มีสีแดงราวเปลวเพลิงที่ช่วยเสริมให้ผิวของนางยิ่งขาวราวหิมะ ริมฝีปากของนางแดงมีเลือดฝาด แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ได้แต่งหน้าอยู่ แต่ความงามโดยธรรมชาติของนางนั้น ไม่จำเป็นต้องแต่งแต้มอะไรก็โดดเด่นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้
เมื่อต้วนเฉินเซวียนเข้ามา ซูเหลียนอวิ้นก็มองเขาอย่างไร้เดียงสา นางยกมงกุฎหงส์ที่อยู่ในมือของตนขึ้นมาทำท่าจัดแจง เนื่องจากนางไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี เพราะที่ผ่านมาการทำผมต่างๆ นางจะมีหลีมู่คอยช่วย ดังนั้นการติดมงกุฎนี้ นางจนปัญญาจริงๆ
“ท่านเป็นอะไรไป” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงไม่พูดอะไรเลย ข้าไม่รู้จะติดมงกุฎหงส์อย่างไรดี…ข้าติดไม่เป็น”
“ข้า….” ต้วนเฉินเซวียนหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นจึงกระแอมออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ “เรื่องนี้ง่ายมาก ข้าช่วยเจ้าติดก็แล้วกัน” วันแต่งงานเหตุใดจึงเหลืออีกหลายวันยิ่ง! ต้วนเฉินเซวียนเดินเข้าไปแล้วสัมผัสกับผมที่ดำขับเป็นประกายราวผ้าไหมทอ จากนั้นจึงแอบรู้สึกปวดใจ นี่เขา…รู้สึกว่าวิธีของตัวเองในวันนี้ที่เขาคิดขึ้นเป็นการทำให้ตัวเองตกลงไปในหลุมดำแท้ๆ!
เพราะตอนนี้ในหัวของเขาไม่มีความคิดอื่นใดอีกแล้ว ตอนนี้เขาคิดเพียงว่าเขาอยากจะแต่งงานซะเดี๋ยวนี้ เขาจะทำอย่างไรดี!
“เอาล่ะ นี่คงพอได้แล้วกระมัง” แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนเองก็ทำผมไม่เป็นเช่นกัน แต่หากให้เขาช่วยติดมงกุฎหงส์ เขาก็พอทำได้
ซูเหลียนอวิ้นเอามือของตัวเองลองจับดู “อืม ก็คงจะประมาณนี้ ติดได้โดยไม่หลุดก็ถือว่าใช้ได้”
“อืม…”
“ชุดนี้ไม่สวยหรือ” ซูเหลียนอวิ้นมองต้วนเฉินเซวียนที่หันหน้าหนีนางไปทางอื่น ตอนนั้นเองที่นางเกิดนึกสนุกขึ้นมา “เหตุใดท่านถึงไม่มองข้า! หรือว่าข้าสวมชุดนี้แล้วทำให้ท่านรู้สึกว่าข้าน่าเกลียดจนทนมองไม่ได้อีกต่อไปอีกแล้ว เฮ้อ น่าเสียใจยิ่งนัก”
“เจ้าอย่าป่วนได้หรือไม่!” ต้วนเฉินเซวียนทำหน้ายักษ์ใส่ “หากยังป่วนอยู่อีก…ข้าจะทำโทษเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม” การควบคุมตัวเองของผู้ชาย ตอนนี้เขาทำได้ดีมากแล้ว! เพราะไม่ว่าใครๆ ก็ตามที่เห็นคนที่ตัวเองชอบสวมใส่ชุดที่สวยงามไร้ที่ติเช่นนี้อ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าตนแล้วจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยบ้าง อีกอย่างชุดที่ซูเหลียนอวิ้นใส่อยู่ตอนนี้คือชุดเจ้าสาว ดังนั้นเขาจึงโดนยั่วเย้าโดยที่ไม่ทันรู้ตัว
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นความจริงจังที่อยู่ในแววตาของต้วนเฉินเซวียนแล้ว นางก็รีบหุบยิ้มทันทีแล้วหันไปเอ่ยกับเขาว่า “ข้าเชื่อท่าน! ข้าไม่ล้อเล่นกับท่านแล้ว!” แม้ว่านางจะเชื่อในการควบคุมตัวเองของต้วนเฉินเซวียน แต่…นางอย่าลองของเลยจะดีกว่า! เพราะอีกสักพัก..อาจจะไม่สนุกแล้วก็ได้!
“อย่างนั้นจะให้ข้าใส่ชุดแบบนี้กลับไปหรือ” ซูเหลียนอวิ้นถกแขนเสื้อขึ้นแล้วมองตัวเองอย่างละเอียด เพราะชุดๆ นี้สวมงามมาก นางไม่สามารถหาข้อบกพร่องของชุดนี้ได้เลย แต่ตอนนี้นางเพิ่งใส่ไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นจะให้นางเปลี่ยนกลับแล้วหรือ นางยังใส่ไม่สมใจเลย!
“งั้นก็ใส่กลับไปอย่างนี้เถิด” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ย “ถึงอย่างไรตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ข้าอุ้มเจ้ากลับไปก็เร็วอยู่แล้วคงจะไม่มีใครสังเกตเห็นแน่” แน่นอนว่าเขาเองก็อยากมองนางใส่ชุดนี้นานๆ หน่อย!
“ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างสดใส ตอนนี้แม้ต้วนเฉินเซวียนบอกว่าจะอุ้มนางกลับไปนางก็ไม่ขัดขืนใดๆ “เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด” นางอยากรีบกลับไปให้หลีมู่ได้เห็น หากหลีมู่เห็น นางจะต้องซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแน่ๆ