ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 243 พิธีแต่งงาน (1)
และก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ตอนที่หลีมู่เห็นซูเหลียอวิ้นใส่ชุดนี้เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า นอกจากหลีมู่จะไม่บ่นอะไรซูเหลียนอวิ้นแล้ว นางกลับยิ่งตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไร
“คุณหนูเจ้าคะ วันนี้มาถึงเร็วนัก!” หลีมู่แอบมองความครื้นเครงที่อยู่ด้านนอกก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
ภายในห้อง ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงปะทัดดังสนั่นรวมทั้งเสียงของหลีมู่ มือของนางก็เริ่มกำหมัดแน่นจากนั้นนางจึงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“เหลียนอวิ้น เจ้าตื่นเต้นหรือไม่” ยังไม่ทันให้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยตอบ หลินเหวินเสี่ยวที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงซุกซนก็เดินเข้ามา
“อย่าแกล้งนางสิ!” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้น “เก็บแรงเอาไว้ให้เจ้าเฉินเซวียนนั้นจะดีกว่า อย่างแกล้งอวิ้นเอ๋อร์เลย”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินบทสนทนาของคนนู้นทีคนนั้นทีเข้าหูนาง ทำให้ความตื่นเต้นของนางค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะสุดท้ายวันนี้ก็ดำเนินมาถึงจนได้!
การแต่งงานครั้งแรกที่เชื่อมโลกทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ภาพที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันเมื่อชาติก่อน ส่วนตอนนี้ภาพนี้ได้ปรากฏขึ้นจริงๆ อยู่ตรงหน้าของนางแล้ว
“เจ้าบ่าวมาถึงแล้ว!” มีเสียงความวุ่นวายดังแทรกจากด้านนอก เสียงนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนโดดเด่นทะลุออกมาเหนือทุกสรรพเสียง
“นี่ เพื่อนเจ้าบ่าวจะเข้าไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้” หลินเหวินเสี่ยวขวางประตูเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เคยได้ยินมาว่าความสามารถของเพื่อนเจ้าบ่าวครบด้าน เช่นนั้นช่วยแต่งกลอนสักบทให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่ หากทำได้ดี พวกเราถึงจะยอมเปิดประตู!
“คุณหนูหลิน!” ต้วนเฉินเซวียนยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร หันชิงอวี่ที่เป็นผู้นำทางอยู่ข้างๆ ก็ทนไม่ไหว เพราะระหว่างทางที่ผ่านมานี้ต้องพิชิตด่านที่ยากลำบากต่างๆ มามายมายแล้ว
ระหว่างทางที่ผ่านมา ทั้งต้องจ่ายเงิน ทั้งต้องจ่ายขนม ยังดีที่ต้วนเฉินเซวียนยังอดทนผ่านมาได้ อ้อไม่ใช่สิ เขาต่างหากที่มีหน้าที่เปิดทางให้ ดังนั้นต้วนเฉินเซวียนจึงมีหน้าที่เพียงซึมซับบรรยากาศเท่านั้นไม่ได้ต้องออกแรงแต่อย่างใด!
ต้วนเฉินเซวียนใส่ชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้ม ตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในจวนนี้เขายังไม่ได้หุบยิ้มเลย เพราะไม่ว่าหนทางก่อนหน้านี้จะมีอุปสรรคมากแค่ไหน ตอนนี้เขาเหลืออีกเพียงด่านเดียวเท่านั้น ดังนั้นสำหรับเขาแล้วด่านของหลินเหวินเสี่ยวไม่ถือว่าหนักหนาอะไร
เพราะทุกอย่างเหล่านี้ล้วนนับเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง การกลั่นแกล้งเจ้าบ่าวเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ดังนั้นตอนนี้กิจกรรมอะไรก็ตาม ขอแค่ไม่แกล้งอะไรที่เกินเลยจนเกินไปและสามารถสร้างบรรยากาศความสนุกสนานได้ ในความคิดของต้วนเฉินเซวียนนั้นไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร!
“หากเพื่อนเจ้าบ่าวเหนื่อยแล้ว คนอื่นก็เป็นตัวแทนได้นี่!” ในช่วงเวลาสำคัญตอนนั้นเอง หนานกงมู่เสวี่ยก็เอ่ยปากออกมา เพราะหนานกงมู่เสวี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว ตามที่นางกะเวลาเอาไว้ ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนน่าจะมาถึงได้แล้ว
แต่มาถึงช้าเอาป่านนี้…? ก่อนหน้านี้คงผ่านมาหลายด่านกระมัง! ตอนนี้มาถึงด่านสำคัญแล้วจะให้เขาจ่ายแค่อั่งเปาและปล่อยเขาไปคงไม่ได้แน่ๆ
“พี่สาวทุกคน! พวกท่านช่วยเปิดประตูก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าเอาอั่งเปาให้ได้หรือไม่!” ตอนนี้ในมือของหันชิงอวี่ถือซองอั่งเปาไว้เต็มมือไปหมด
เอาอั่งเปาไปแล้วให้พวกเขาเข้าไปก็พอแล้ว! เพราะระหว่างทางที่มานี้ นอกจากยิงห่านป่าที่ต้วนเฉินเซวียนลงมือยิงเองแล้ว เรื่องอื่น…ล้วนเป็นเขาจัดการทั้งนั้น!
ดังนั้นการแต่งกลอนเช่นนี้…ตามประเพณีแล้วก็งคงจะต้องเป็นพวกเพื่อนเจ้าบ่าวช่วยกันแต่งอีก!
“มิได้!” หลินเหวินเสี่ยวคล้ายยังป่วนไม่พอ “ยังไม่ได้ยินกลอนเลยจะเปิดประตูให้พวกท่านได้อย่างไร! พวกเราต้องแน่ใจว่าอวิ้นเอ๋อร์ของพวกเรากำลังจะแต่งงานกับผู้ที่เพียบพร้อมทั้งบุ๊นและบู๊ หากไม่ยอมแต่งกลอนก็คงเปิดประตูให้ไปไม่ได้จริงๆ!”
“เฉินเซวียน…” หันชิงอวี่ไม่ยอมแล้ว หากเจ้าให้คนที่ไม่เคยมีความสนใจในด้านบทกลอนมาก่อนมาแต่งกลอน? แถมยังต้องแต่งต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้อีก นี่มันฝืนใจกันมากไปหน่อย!
“ข้าเอง เจ้าถอยไป!” ต้วนเฉินเซวียนกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “แลก้อนเมฆชมผกาคะนึงหน้านงคราญ น้ำค้างแข็งล้อมผกาขับเสน่ห์ ความงามนี้แดนสุขาวดีจึ่งได้พบผกาขาวผุดผ่องมิเคยต้องโลกีย์ มิทราบว่ากลอนบทนี่เป็นอย่างไรบ้าง”
หากรู้แต่แรกว่าจะมีด่านทดสอบการแต่งกลอนเช่นนี้ เมื่อคืนเขาคงให้เจ้าหันชิงอวี่ฝึกท่องมาก่อนเป็นร้อยๆ รอบ เพราะหากเขาคิดไม่ออกขึ้นมา ตอนนี้คงจะน่าขายหน้ามากทีเดียว!
แต่ก็ยังดีอยู่บ้าง ในด้านการแต่งกลอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็ไม่ถือว่าย่ำแย่นัก
“ตกลง” เสียงชื่นชมของหลินเหวินเสี่ยวดังมาจากด้านในห้อง “ด่านของพวกเราไม่ขวางพวกท่านอีกแล้ว พวกเรายอม เปิดประตูได้”
ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บนศีรษะของนางมีผ้าสีแดงคลุมไว้จึงไม่มีผู้ใดเห็นสีหน้าของนางตอนนี้ ดังนั้นจึงมีแต่ตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มอยู่แถมยังเป็นรอยยิ้มที่มาจากข้างในอย่างแท้จริง เพราะบรรยากาศเช่นนี้เป็นภาพที่นางจินตนาการเอาไว้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
แม้ว่านางจะไม่สามารถทำตามความปรารถนานี้ได้มาตั้งแต่แรก แต่ว่าตอนนี้…ก็ถือว่าไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว
“มา น้องหญิง” ซูมั่วเยี่ยยื่นมือออกมารับ “พี่จะแบกเจ้าออกไป” เขากำลังจะแบกนางขึ้นเกี้ยวดอกไม้ ปกติแล้วเรื่องแบบนี้พี่ชายแท้ๆ หรือพี่ชายลูกพี่ลูกน้องจะเป็นคนแบกเจ้าสาวขึ้นไป แต่บังเอิญซูเหลียนอวิ้นมีพี่ชายแท้ ดังนั้นแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของซูมั่วเยี่ยอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“น้องหญิง ตอนนี้เจ้ามีความสุขหรือไม่” ท่ามกลางเสียงปะทัดดังสนั่น ซูมั่วเยี่ยเอ่ยถามเบาๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ซูเหลียนอวิ้นยังคงได้ยินอยู่
กล่าวได้ว่าน้ำเสียงของซูมั่วเยี่ยนั้นไม่ได้เข้าไปในหูของนาง แต่เข้าไปในใจของนาง เขาใช้ใจถามนางว่านางมีความสุขหรือไม่
“ท่านพี่ข้าไม่รู้สึกเสียใจ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย “ข้ามีความสุขมาก” ภาพเหตุการณ์ที่นางฝันถึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตอนนี้ได้ปรากฏขึ้นจริงอยู่ตรงหน้านาง นางจึงมีความสุขเพราะหากละเลยเรื่องราวบางเรื่องไปบ้าง เจ้าบ่าวอย่างต้วนเฉินเซวียนก็ถือว่าดีอย่างยิ่งและไม่ได้หาได้ง่ายๆ
ดังนั้นจะมีความสุขหรือไม่มีนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเรื่องนี้อย่างไร อย่างน้อยๆ ตอนนี้ ความสุขและความตื่นเต้น ของนางไม่ใช่เรื่องโกหก
“อย่างนั้นก็ดี” สุดท้ายซูมั่วเยี่ยก็วางเรื่องราวหนักอึ้งที่อยู่ในใจของตนเองมาโดยตลอดลงได้ในวันนี้ “พี่ส่งเจ้าได้ถึงเพียงตรงนี้แล้ว แต่…แม้ว่าเส้นทางต่อจากนี้เจ้าจะต้องเดินหน้าด้วยตัวเองแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกลัว” เดินมาจนสุดทาง ถึงเวลาที่เจ้าสาวต้องขึ้นเกี้ยว หนทางนี้ที่แท้แล้วกลับสั้นเพียงเท่านี้
“เจ้าเด็กนี่พูดอะไรอยู่ได้!” อันเพ่ยอิงที่อยู่ข้างๆรับอาหารมาจากสาวใช้เอ่ยขึ้นพลางตีเบาๆ ที่ไหล่ของซูมั่วเยี่ย “ถอยไปสิ ถึงเวลาที่ข้าต้องป้อนข้าวอวิ้นเอ๋อร์แล้ว” แม้ว่านางจะเอ่ยปากด้วยคำพูดเสียดสีและรังเกียจเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตาบวมแดงและน้ำเสียงสะอึกสะอื้นของอันเพ่ยอิงนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ถึงความจริงทุกอย่าง
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นมีผ้าคลุมศีรษะอยู่ ตอนนี้นางจึงมองไม่เห็นสีหน้าของอันเพ่ยอิงและคนอื่นๆ แต่เมื่อช้อนป้อนข้าวยื่นมาอยู่ที่ปากของนางแล้ว ความรู้สึกที่ปิดบังเอาไว้ตั้งแต่แรก ในเวลานี้กลับมิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้อีกแล้ว