ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 245 เมื่อพิธีแต่งงานสิ้นสุดและต้องเข้าห้องหอ
หลังจากกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว หลีมู่ก็ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนซูเหลียนอวิ้นได้อีกต่อไป นางเพียงฝืนอยู่เป็นเพื่อนกับซูเหลียนอวิ้นต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นหลีมู่ก็จำเป็นต้องออกไปข้างนอก
เพราะอีกครู่หนึ่งที่เจ้าบ่าวกลับมา อย่างน้อยๆ ก็จะต้องมีกลิ่นเหล้าติดตัวมาด้วย ถึงตอนนั้นหากคนนอกยังอยู่ในห้องด้วยล่ะก็…นั่นคงจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ อีกอย่างพวกนางก็ยืนอยู่ข้างนอก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอเพียงด้านในตะโกนออกมา พวกนางที่อยู่ด้านนอกจะต้องได้ยินอย่างแน่นอน
และในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่บนเตียงและกำลังมองเล็บของตัวเองใต้แสงเทียนอยู่นั้น ต้วนเฉินเซวียนก็เดินเข้ามาในที่สุด
ประตูส่งเสียงขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงเงยหน้าขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความใสซื่อ และบังเอิญสบสายตาเข้ากับต้วนเฉินเซวียนที่มองมาที่นางพอดีเช่นกัน
“ท่าน ท่านกินเสร็จแล้วหรือ…” ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยว่าอย่างไรตอนนี้ เมื่อคิดอยู่นานว่าจะเอ่ยอย่างไรได้แล้วจึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“อืม…” ต้วนเฉินเซวียนอึกอักครู่หนึ่ง แล้วหันไปปิดประตูเบาๆ แล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ควรทำอะไร”
“คือว่า…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นถูกต้วนเฉินเซวียนถามขึ้นมาอย่างไม่มีหัวมีหางเช่นนี้ก็ชะงักไป “ต้องดื่มสุราหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเหม่อมองไปยังสุราที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตั้งแต่นางเข้ามา
“เอ่อ…? เจ้าไม่รู้จริงหรือ” เมื่อต้วนเฉินเซวียนปิดประตูแล้วก็หันกลับมาแล้วเอ่ยช้าๆ พลางยิ้มให้ซูเหลียนอวิ้น
“ท่าน ท่านจะทำอะไร…?” ซูเหลียนอวิ้นมองแววตาของต้วนเฉินเซวียนแล้วตกใจจนเอาตัวเองเข้าไปแอบอยู่ตรงมุมห้อง
เพราะสายตาของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ทำให้นางตกใจจริงๆ ท่าทางของเขาอย่างกับจะกินนางเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น! หากบอกว่าสายตาของเขาปรากฏแสงสีเขียวข้างในก็ไม่ถือว่าเกินจริงแต่อย่างใด!
“ท่านท่าน ท่านคงมิได้จะใช้ฝ่ามือสังหารกับข้าหรอกนะ” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในหัวของซูเหลียนอวิ้นจึงปรากฏคำพูดประโยคนี้ขึ้นและพูดออกมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งสิ้น
“โธ่เมียของข้า เจ้าคิดอะไรอยู่” ต้วนเฉินเซวียนถอดเสื้อคลุมออกแล้วก้าวเท้าเข้ามาหาซูเหลียนอวิ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้วนเฉินเซวียนไม่ได้โดนคนในงานมอมเหล้าสักเท่าไหร่ แม้ว่าตอนที่เดินเข้ามากลิ่นเหล้าจะเตะจมูก แต่เมื่อถอดเสื้อคลุมออกแล้ว เสื้อที่เหลือกลับไม่มีกลิ่นเหล้าเลยแม้แต่น้อย
“เมียรึ ท่านอย่าพูดเหลวไหล”
ซูเหลียนอวิ้นมองต้วนเฉินเซวียนที่เข้าใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นนางจึงอับจนถ้อยคำ เพราะไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอย่างไรและควรจัดแจงร่างกายของตัวเองอย่างไร!
“ดื่มสุราอะไรไม่สำคัญทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือ วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเรา เจ้าว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร” เขารอวันนี้มาไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วขาจะแอบวางแผนเงียบๆ อยู่ในใจ แต่ติดอยู่ที่ว่าตอนนั้นเขาเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ แม้ว่าในใจเขาจะคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน แต่เขากลับไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อสองสามวันก่อนที่ซูเหลียนอวิ้นลองชุดเจ้าสาวมายืนอยู่ตรงหน้าเขา แม้ว่าตอนนั้นนางจะยังไม่แต่งหน้าก็สามารถทำให้เขาหลงไหลได้มากเพียงนั้นแล้ว ส่วนตอนนี้นางแต่งตัวครบชุดและที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้ถือว่าเขามีสิทธิ์อย่างเต็มที่แล้ว และเขาจะอดทนอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะส่งสายตาน่าสงสารอ้อนวอนเขาอย่างไร หรือว่าพูดอะไรที่เอาอกเอาใจมากปานไหนก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
กว่าเนื้อจะมาจ่ออยู่ที่ปากเช่นนี้ได้นั้นไม่ง่าย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลืนนางลงไปทั้งตัวถึงจะถูกต้อง
“ท่าน ท่านไม่กลัวว่าอีกประเดี๋ยวจะมีคนมาปลุกห้องเจ้าสาวหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก เพราะนางไม่รู้ว่ามืออันว่องไวของต้วนเฉินเซวียนถอดเอาชุดชั้นนอกของนางออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้นางจึงเหลือเพียงชุดด้านในเพียงชั้นเดียวเท่านั้น!
“ไม่กลัว” มือของต้วนเฉินเซวียนเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง เขาเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ข้าไม่เชื่อว่าใครหน้าไหนจะกล้ามากวนพวกเราถึงที่ห้องหอนี่” ตอนนี้รอบๆ ห้องนี้มีคนของเขาล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาทั้งนอกใน
ผู้ใดที่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งและอยากจะลองฝืนเข้ามาดูล่ะก็ แน่นอนว่าจะต้องทำให้คนผู้นั้นเห็นว่าจุดจบของตัวเองจะเป็นอย่างไร!
“เช่นนั้น พวกเรามาคุยกันก่อนดีหรือไม่!” การลงมือของท่านรวดเร็วเกินไปหรือไม่! นาง นางยังไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลย นางยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งสิ้น!
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยคิดถึงปัญหานี้มาบ้างแล้ว แต่ในจินตนาการกับความเป็นจริงนั้นช่างห่างไกลกันมากนัก! ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป นางขอเวลาบ้างได้หรือไม่
“ได้ พรุ่งนี้เช้า เจ้าจะคุยอะไรกับข้าเรื่องอะไรก็ได้” เวลาเพียงชั่วครู่ แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะพยายามต้านทานเขาเท่าไหร่ แต่เมื่อเทียบกับแรงของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ที่เหมือนหมาป่าหิวโหยแล้ว นางออกแรงไปก็เหมือนจั๊กจี้เขาเท่านั้น
ตัวของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้เปรียบเหมือนไข่ไก่ที่ถูกแกะเปลือกออกเผยให้เห็นผิวพรรณด้านในของนางที่ขาวและอ่อนนุ่ม ผิวของนางแม้ว่าจะขาวแต่ด้วยความอายระคนโกรธจึงทำให้ผิวของนางมีสีแดงระเรื่อผสมอยู่ด้วย
ซูเหลียนอวิ้นที่ต้องแสงเทียนในสายตาของต้วนเฉินเซวียนนั้นเปรียบเสมือนนางมารที่มาปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ ท่วงทีของนางหรือแม้แต่การส่งสายตาของนางก็สามารถทำให้เลือดของเขาสูบฉีดไปทั่วร่างได้แล้ว
“เอาล่ะ หลับตา” ต้วนเฉินเซวียนเอามือข้างหนึ่งปิดตาของซูเหลียนอวิ้น และใช้อีกมือหนึ่งโบกให้เทียนดับลงเหลือไว้เพียงความมืดสนิท
ไม่นานนักหลีมู่ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงที่ทำให้นางหน้าแดงและใจเต้นระรัว ดวงตาทั้งสองของนางจดจ้องอยู่ที่รองเท้าของตัวเองนิ่ง ตอนนั้นนางรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถหาก้อนสำลีสักสองก้อนมาอุดหูของตัวเองได้!
แต่เมื่อนางหันหน้าไปมองคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ซึ่งก็คือเหล่าองครักษ์ที่ใส่ชุดดำ พวกเขายืนนิ่งไม่ไหวติงราวกำเพง สีหน้าของพวกเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ หลีมู่จึงแอบคิดว่าหรือว่าตัวนางผิดปกติอะไรบางอย่าง หรือนางคิดมากเกินไป มิเช่นนั้นแล้วทำไมนางกับพวกเขาถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้!
ตอนนี้หน้าของนางร้อนผ่าวจนแทบต้มกุ้งให้สุกได้ แต่พวกเขากลับทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น…เห็นชัดๆ ว่าแตกต่างกันมากเหลือเกิน!
แต่จะว่าไปแล้ว คุณหนูของตนร่างกายบอบบางขนาดนั้น ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง นางรู้ดีว่าคุณหนูของตนเป็นคนสวยอยู่แล้ว แต่วันนี้แต่งหน้าจัดเต็มขนาดนั้น ความเปล่งประกายของนางคงจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย!
หากวันนี้คุณชายควบคุมตัวเองไม่ไหว…นี่เป็นครั้งแรกของคุณหนูของนางนะ! หากร่างกายของคุณหนูรับไม่ไหวจะทำอย่างไร
เพราะก่อนจะแต่งงาน อันเพ่ยอิงได้แอบเรียกหลีมู่ไปกำชับหลายเรื่อง เพราะนางรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นหน้าบางเกรงว่าจะไม่ยอมฟัง ดังนั้นจึงต้องแอบกำชับหลีมู่ โดยบอกว่าครั้งแรกห้าม…
แต่จากสถานการณ์ตอนนี้…หลีมู่คิดว่า นางคงทำให้อันเพ่ยอิงผิดหวังเสียแล้ว!