ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 252 เรื่องราวชีวิต
“ทำไมถึงไม่ให้ฟังเล่า” ซูเหลียนอวิ้นย้อนถาม “ทำไม มีอะไรที่ไม่อยากให้ข้ารู้รึ”
“ไม่มี”
“นี่” ซูเหลียนอวิ้นก้าวไปข้างหน้าเพื่อไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าต้วนเฉินเซวียน จากนั้นจึงเงยหน้ามองด้วยสายตาทะเล้น “คุณชายต้วน ท่านคงไม่รู้ตัวกระมังว่าตัวเองผิดปกติ”
“ฮะ หมายความว่าอะไร” ต้วนเฉินเซวียนอดไม่ได้ที่จะเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย “อะไรผิดปกติรึ”
“คือว่าเวลาที่ท่านต้องการให้คนเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดมากเป็นพิเศษ ท่านจะพูดเร็วมากและพูดอย่างแน่วแน่!” ซูเหลียนอวิ้นยืดตัวขึ้น “แต่โดยปกติแล้วคำพูดเวลาที่อยากให้คนเชื่อมากเป็นพิเศษนั้น ความน่าเชื่อถือของคำพูดเหล่านี้คงต้องพิจารณาดูดีๆ อีกที”
“จริงหรือ ข้ามีอาการเช่นนี้ด้วย?” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองมีอาการเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นแล้ววันหน้าคงต้องพยายามปรับตัวในด้านนี้ใหม่เสียแล้ว!
“ท่านคิดจะแก้หรือ คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก” ซูเหลียนอวิ้นดึงมือของต้วนเฉินเซวียนให้มุ่งหน้าไปยังประตูวังหลวง เพราะคงไม่อาจยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ตลอดได้และที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะเหมาะกับการพูดคุยกันด้วย
“อาการเช่นนี้ของท่านคงมีมานานหลายสิบปีแล้วกระมัง หากอยากจะแก้ตอนนี้…เกรงว่าคงจะยากเสียแล้ว!”
“เอาล่ะๆ ข้าเถียงไม่ชนะเจ้า” ต้วนเฉินเซวียนยอมแพ้ “ใช่ มีเรื่องนิดหน่อย แต่…เรื่องนั้นมันค่อนข้างซับซ้อน หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะพูดกับเจ้า แต่หากเจ้าไม่อยากรู้ ก็…”
“ข้าอยากรู้!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขัดขึ้นมา “เรื่องราวของราชวงศ์มีผู้ใดบ้างไม่อยากรู้ พูดมา ข้าอยากรู้มาก” ดูรูปการณ์เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียนมากทีเดียว เพราะจากนิสัยของต้วนเฉินเซวียนแล้ว คนอื่นจะเป็นจะตายอย่างไรมันจะเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
แต่ตอนนี้เขากลับทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ดูท่าแล้วส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขาจะต้องไม่น้อยแน่!
“ตกลง” บนรถม้า ต้วนเฉินเซียนเอียงตัวไปจ้องหน้าซูเหลียนอวิ้น “เจ้าอยากถามอะไร เจ้าถามข้า ข้าก็จะตอบ” เพราะหากให้เขาเป็นคนรับสารภาพทุกอย่างออกมาเองเกรงว่าคงจะเล่าหลายๆ เรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ออกมาด้วย เช่นนั้นก็ผลักภาระออกไปเช่นนี้ก็แล้วกัน
“ตกลง!” ซูเหลียนอวิ้นนั่งยืดตัวขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “พูดมาว่าท่านกับลี่หยวนตี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่…” อันที่จริงแล้วคำถามนี้เป็นคำถามที่นางอยากจะถามมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนแล้วแต่ติดตรงที่ว่า ไม่มีคนให้ถามและไม่มีโอกาสที่เหมาะสม
ตอนนี้ได้โอกาสดีขนาดนี้ นางจำเป็นต้องถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียที เพราะเรื่องนี้ไม่อาจคิดเรื่อยเปื่อยไปเองได้…เรื่องราวมากมายคล้ายนำนางมาทางนี้ทั้งหมดแล้ว
คนอย่างต้วนเฉินเซวียนไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นเพียงหลานของเกาอู่เตี๋ยและคงไม่มีทางที่จะไม่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับตระกูลหนานกงอย่างแน่นอน! มิเช่นนั้นแล้วทำไมลี่หยวนตี้ถึงมักจะอภัยให้ต้วนเฉินเซวียนในทุกเรื่องที่เขาก่อ
เพราะไม่ว่าเขาจะได้รับความเมตตาจากเกาอู่เตี๋ยอย่างไร คนที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังท้าทายอยู่ก็มีอำนาจของโอรสสวรรค์ การที่ไม่ใส่ใจและท้าทายอำนาจแห่งโอรสสวรรค์นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่ดี!
และยังมีอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ รูปร่างหน้าตาของต้วนเฉินเซวียนที่หากมองให้ละเอียดแล้วจะพบว่าเขามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเกาอู่เตี๋ยมาก เพียงแต่ต้วนเฉินเซวียนเป็นผู้ชายมีนิสัยดื้อรั้น จึงแตกต่างจากเกาอู่เตี๋ยที่เป็นเจ้าแห่งวังหลังผู้มีจริยวัตรงดงาม มิเช่นนั้นแล้วหากปรับเปลี่ยนนิสัยสักหน่อย รวมถึงเปลี่ยนเพศและการแต่งตัวอีกนิด ก็จะเห็นได้ว่าต้วนเฉินเซวียนนั้นถอดแบบออกมาจากเกาอู่เตี๋ยไม่มีผิด!
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ต้วนเฉินเซวียนได้ยินคำถามนี้ของซูเหลียนอวิ้น แม้ว่าเขาจะแปลกใจแต่ก็แปลกใจเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นจึงรู้สึกสนใจในคำถามนี้ของซูเหลียนอวิ้นขึ้นมา “ไหนลองพูดความคิดของเจ้าออกมาก่อน แล้วพวกเราค่อยเปรียบเทียบคำตอบกันอีกที”
“เอ่อ…ฮองเฮา…คือ มารดาที่แท้จริงของท่าน?” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้า มือของนางอยู่ไม่สุขแล้วเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก เพราะเรื่องมารดาผู้ให้กำเนิดนี้ หากพูดออกไปก็อาจจะเป็นการสะกิดปมในใจของเขา
“เดาง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ” ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้วนเฉินเซวียนจึงเลิกคิ้วแล้วดึงซูเหลียนอวิ้นเข้าไปในอ้อมอกของเขาพลางเอ่ยขึ้น “คิดไม่ถึงเลยว่าอวิ้นเอ๋อร์ของข้าจะฉลาดขนาดนี้ ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียวก็ล่วงรู้ความลับขั้นสุดยอดของข้าได้”
“ข้าพูดกับท่านดีๆ นะ!”
“ข้าก็พูดดีเช่นกัน” ต้วนเฉินเวียนเอ่ย “แต่เจ้ารู้ได้อย่างไร หากเรื่องนี้สามารถเดาได้ง่ายขนาดนี้ ข้าคงวุ่นวายอย่างแน่นอน”
ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ แต่ท่าทางการพูดจาของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้คล้ายว่ากำลังคุยเรื่องอาหารเช้าของซูเหลียนอวิ้นเช้านี้ไม่ใช่ฮะเก๋าแต่เป็นหมั่นโถวทอดอย่างไรอย่างนั้น
เขาเพียงประหลาดใจนิดหน่อย จากนั้นจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเลยสักนิด เพราะไม่ใช่เรื่องที่มีค่ามากพอที่จะทำให้เขาวุ่นวายใจได้
“ข้า…เพิ่งสังเกตได้ตอนที่แต่งงานเข้ามาแล้ว…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามจัดท่าทางของตัวเองให้ดีแล้วพยายามซุกอยู่ในมุมที่นางรู้สึกสบายที่สุด จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ของท่าน…แปลกประหลาด ไม่ว่าจะอย่างไรก็…เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมา”
นางสังเกตเห็นถึงความรักของจางเจาหวาที่มีต่อต้วนหงอวี้แถมยังเป็นความรักที่ลึกซึ้งอีกต่างหาก ส่วนความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างต้วนหงอวี้นั้น…? นางกลับไม่รู้สึกถึงความรักของเขาเลยสักนิด!
อีกอย่างเมื่อผ่านไปนานเข้า พอนางได้สัมผัสกับตัวเอง ซูเหลียนอวิ้นก็ยิ่งรู้สึกว่า ต้วนหงอวี้ผู้นี้เป็นคนแปลกประหลาดนัก! ทั้งๆ ที่เขาเป็นห่วงต้วนเฉินเซวียน แต่ก็ทำเหมือนไม่สนใจและคล้ายมีอารมณ์ความนึกคิดอย่างอื่นด้วย
ราวกับสุนัขที่จนตรอกที่ตัวเองรู้สึกบีบคั้นขึ้นมาเอง! ดังนั้นสิ่งที่นางสงสัยในนิสัยที่ดูลึกลับของต้วนเฉินเซวียนในตอนนั้นคงได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาถึงต้วนหงอวี้แล้วกระมัง
ดังนั้นเวลาที่นางรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ นางจึงเริ่มศึกษาผังลำดับครอบครัวของตระกูลต้วน เมื่อศึกษาดีๆ นางจึงค้นพบว่าต้วนหงอวี้กับฮองเฮาเกาอู่เตี๋ยในปัจจุบันมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
แล้วนี่จะไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นสงสัยได้อย่างไร! อีกอย่าง…คล้ายว่าทุกเรื่องก็มีคำอธิบายของมัน?
หากต้วนเฉินเซวียนเป็นลูกชายของเกาอู่เตี๋ยจริง เช่นนั้น…พ่อของเขาก็คงจะเป็นลี่หยวนตี้กระมัง เพราะถึงอย่างไรก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก หากรักกันจริงๆ ก็น่าจะคบกันมาตั้งนานแล้ว
ดังนั้นความรู้สึกของต้วนหงอวี้ที่มีต่อต้วนเฉินเซวียนจะต้องเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนมากอย่างแน่นอน! เพราะครึ่งหนึ่งต้วนเฉินเซวียนมีสายเลือดของน้องสาวที่ตัวเองรักมากที่สุดและเป็นผู้หญิงที่ตนรักมากที่สุด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็มีสายเลือดของศัตรูหัวใจของเขาอยู่ในนั้นด้วย
เป็นความรู้สึกทั้งรักทั้งชังอย่างแท้จริง!
“อืม…ข้าไม่ใช่ลูกของต้วนหงอวี้จริงๆ” ต้วนเฉินเซวียนยิ้ม ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเย็นชาราวกับไม่ได้พูดถึงเรื่องราวของตัวเองอยู่
“ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเสด็จอา ข้ารู้ตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบแล้ว” เขายังจำได้ว่าในตอนที่เขายังเป็นเด็กอยู่นั้น เนื่องจากความซนของเขาในตอนที่เขากำลังเล่นซ่อนแอบอยู่กับคนรับใช้นั้น เขาจึงได้เข้าไปแอบในห้องหนังสือของต้วนหงอวี้
เพราะว่าในห้องหนังสือของต้วนหงอวี้นั้นไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป แม้แต่ต้วนเฉินเซวียนเองก็ไม่ได้! แต่ต้วนเฉินเซียนในวัยเด็กที่สนใจแต่ผลแพ้ชนะในการเล่นนั้นจะคิดอะไรมากนัก เมื่อเห็นว่ามีประตูเปิดอยู่เขาก็เดินเข้าไปโดยที่ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น