ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 254 ตำแหน่ง
ดังนั้นแม้ว่าหนานกงหงจะไม่ยินดีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้เพียงมองซูเหลียนอวิ้นแต่งงานกับคนอื่นๆ ตาปริบๆ ซึ่งคนอื่นคนนั้นก็คือต้วนเฉินเซวียน
แต่ตอนนี้เมื่อมานึกๆ ดูแล้ว…นี่คงจะเป็นเจตนาของเสด็จพ่อตัวดีของเขากระมัง
เสด็จพ่อลงมือเร็วนัก ถึงกับปูทางให้ต้วนเฉินเซวียนโดยการเลือกภรรยาให้ต้วนเฉินเซวียน และสตรีคนนั้นก็คือซูเหลียนอวิ้น เป็นการเดินเกมหมากที่ดีตัวหนึ่ง!
“มิต้องไปสืบหรอกว่าวันนี้เสด็จพ่อเรียกซูเหลียนอวิ้นเข้าพบด้วยเรื่องอะไร” ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็คงไม่สำคัญ เพราะนั่นคงเป็นเพียงกระบวนการหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจะไปลงแรงและความคิดให้สิ้นเปลืองทำไม เพราะนี่ก็เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง คนอย่างหนานกงหงสนใจเพียงผลลัพธ์เท่านั้น!
“เตรียมของไปถึงไหนแล้ว” หนานกงหงยืนย้อนแสงอยู่จึงทำให้มองไม่ออกว่าอารมณ์ของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ในตอนนี้ “หากเตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รายงานข้าด้วย”
เสด็จพ่อ ในเมื่อท่านไม่มีเมตตา เช่นนั้นก็อย่าว่าข้าว่าไม่มีคุณธรรมก็แล้วกัน!
“นายท่าน…อันที่จริงของเตรียมไว้พร้อมตั้งนานแล้ว” แต่หมากตัวนี้ของท่านหากให้เดินหน้าจริงก็ถือว่าเป็นการเดินเกมที่เสี่ยงมากทีเดียว!
อย่างที่ว่ากันว่าหากอยากร่ำรวยต้องลองเสี่ยงสักตั้ง แต่หากไม่ได้ตามปรารถนาเล่า เกรงว่าจะต้องแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน!
“ลงมือตอนนี้ยังทัน เช่นนั้นก็ลงมือเลยเถิด” หากยังไม่ลงมือ เขาเกรงว่าทุกอย่างจะสายเกินไป! ……
ณ จวนจิ้งอันโหว
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังเอียงคอส่องดูเครื่องประดับอัญมณีที่อยู่บนศีรษะอยู่นั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดพลางเอ่ยออกมาว่า “ต้วนเฉินเซวียน ท่านว่า…ทำไมข้าถึงรู้สึกวุ่นวายใจแปลกๆ เช่นนี้!”
“วุ่นวายใจ?” ต้วนเฉินเซวียนเปลี่ยนเสื้อคลุมแล้วเดินไปด้านหลังซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงหยิบผมของซูเหลียนอวิ้นขึ้นมาพันที่นิ้วมือของตัวเองพลางเอ่ยว่า “วุ่นวายใจเรื่องอะไร”
“เมื่อข้านึกถึงสายตาขององค์ชายสามที่มองท่านในวันนั้น ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอีก” ตั้งแต่นางกลับมาเกิดใหม่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แต่นางกล้ารับประกันความรู้สึกของตัวเองในด้านนี้ว่ามีความแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง!
“หนานกงหง?” ในหัวของต้วนเฉินเซวียนปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นโดยไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร จากนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกรอกตา “เจ้าหมายถึงเจ้าหมูนั่นน่ะรึ เขาน่ะหรือ ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรสำเร็จได้”
เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ ในสายตาของคนภายนอกมักจะมองว่าองค์ชายสามเป็นเพียงองค์ชายร่างอ้วนที่หลงไหลในการกินดื่มและเสเพลไปวันๆ เท่านั้น เขาไม่เคยแสดงความสนใจในเรื่องราวของบ้านเมืองมาก่อน ดังนั้นจึงโทษต้วนเฉินเซวียนไม่ได้ที่เขาจะดูถูกและไม่เคยใส่ใจองค์ชายสาม
“ข้าว่าไม่น่าจะใช่” ซูเหลียนอวิ้นจับผมหน้าม้าของตัวเองเล่นพลางเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ลึกซึ้งยากเข้าถึงมากๆ ท่านอย่าได้มองข้ามเขาอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นถึงเวลาท่านจะโดนเขากัดโดยไม่รู้ตัว!”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนรับปาก แต่สายตาของเขานั้นกลับไม่ได้จริงจังเลยสักนิด
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนไม่สนใจเรื่องนี้ ตอนนั้นนางเองก็เริ่มไม่สนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน เพราะหากมองท่าทางเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียน เขาคงจะมีวิธีการรับมือเอาไว้แล้วกระมัง หรืออาจจะมั่นใจแล้วจริงๆ ว่าหนานกงหงไม่ได้เรื่องจริงๆ
เอาเช่นนั้นก็ได้
“จริงสิ…อวิ้นเอ๋อร์…เรื่องนั้น…”
“หืม” เมื่อจัดการลบเครื่องสำอางและถอดเครื่องประดับออกหมดแล้ว สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นก็เตรียมจะพักผ่อน นางเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ มีอะไรจะพูดกับข้า”
“เรื่องเล็กน้อย…” ต้วนเฉินเซวียนเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็ลากเอาเบาะที่ซูเหลียนอวิ้นนั่งทับออกไปครึ่งหนึ่งเสียดื้อๆ
“เรื่องเล็กรึ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นอย่างคบขัน “เชื่อก็ได้ ว่ามา ว่าเรื่องเล็กอะไร”
“คือว่าหลังจากที่เจ้ารู้เรื่องที่ข้าบอกเจ้าในวันนี้แล้ว เจ้ามีความคิดเห็นเป็นอย่างไร” ต้วนเฉินเซวียนกระพริบตาปริบๆ มองซูเหลียนอวิ้น ราวกับเด็กที่กำลังรอการประกาศผลคะแนนของอาจารย์อย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังและความวุ่นวายใจ
เพราะลี่หยวนตี้คิดอย่างไร เขาย่อมรู้ดี ทว่าตอนแรกเขารู้สึกว่าไม่มีอะไร เพราะ…การมีอำจาจสูงสุดเช่นนั้นย่อมไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเขา
แต่ตอนนี้เล่า? ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าคนอื่นจะว่าเขาว่าเขากำลังเสื่อมถอย ไม่มีความก้าวหน้าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็อยากดูแลเพียงที่ดินพื้นน้อยนี้และดูแลคนที่เป็นคนของเขาจำนวนแค่นี้และใช้ชีวิตอย่างสบายใจไปวันๆ ก็เท่านั้น
เพราะหากเขาได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นเข้าจริงๆ การใช้ชีวิตอย่างสบายใจ สบายอารมณ์และมีความมั่งคงของเขาเกรงว่าคงจะค่อยๆ ห่างจากเขาไปเรื่อยๆกระมัง
มีได้ก็ต้องมีเสีย บนโลกใบนี้ ไม่มีทางออกแบบชีวิตที่สมบูรณ์แบบไว้สำหรับใครคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ซูเหลียนอวิ้นอ่านสายตาของต้วนเฉินเซวียนออก ริมฝีปากของนางจึงแยกออกเป็นรอยยิ้มที่เห็นฟันเขี้ยวสองซีกของนาง “เอาตามที่ท่านต้องการก็พอ การตัดสินใจทุกอย่างเอาตามท่านเลย เพราะอย่างไรท่านก็เป็นผู้เลือก”
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้โกหก ตอนนี้นางคิดเช่นนี้จริงๆ
หากต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เป็นฮ่องเต้ แล้วทำงานเช้ายันเย็นเพื่อดูแลนาง และใช้ชีวิตล่องลอยไปตามอารมณ์เช่นนี้ทุกวันก็ย่อมดี แต่เพราะชีวิตเช่นนี้มันดีเกินไป บางครั้งจึงทำให้ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
เพราะหากหัวใจโดนโจมตีไปเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะควบคุม
นางเองก็กลัว กลัวว่าหากนางไม่ระวัง นางจะย่ำสู้เส้นทางแห่งความผิดพลาดแบบเดิมเหมือนชาติที่แล้วอีกที่นางรักโดยไม่ระวังตัว ทุ่มเทมากเกินไป มอบความรักของตัวเองให้คนอื่นมากเกินกว่าความรักที่นางให้ตัวเอง
อันที่จริงแล้วแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว และนางเองก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ถอดเกราะของตัวเองออกทีละชั้นราวกับนางกำลังแสดงออกแต่ความจริงใจเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วความจริงเป็นอย่างไรมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่รู้
ตัวนางในตอนนี้ยังคงมีเกราะป้องกันต้วนเฉินเซวียนอยู่ เพราะว่าการถอดเกราะบนร่างกายออกนั้นง่ายแต่การถอดเกราะที่ใจนั้น หากลองได้สวมมันดูแล้วก็ยากที่จะถอดมันออกได้
ไม่ว่าต้วนเฉินเซวียนจะทำเรื่องอะไรก็ตาม ตอนนี้นางยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่เท่านั้น เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เวลาที่นางจำเป็นต้องถอนตัวออกมาจริงๆ จะยังทำให้นางหันหลังออกมาได้อย่างสง่างามและไม่มีอะไรให้นางต้องคิดถึงอีก
ดังนั้นการที่ต้วนเฉินเซวียนได้เป็นฮ่องเต้นั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนาง! เพราะเขาคงไม่ทอดทิ้งภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันแน่ นางเป็นภรรยาที่ถูกต้องคนแรกของต้วนเฉินเซวียนเป็นชายาเอก ตามหลักแล้วหากวันนั้นมาถึงจริงๆ ตำแหน่งฮองเฮาก็จะเป็นของนางทันที
ตำแหน่งฮองเฮานั้น อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว ส่วนคนที่เหลือล้วนต้องเคารพนาง ดังนั้นจึงเป็นตำแหน่งที่ยั่วกิเลสเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแม้ว่าจะยั่วกิเลสอย่างไรแต่หากพิจารณาดูเกาอู่เตี๋ยตอนนี้ ความสนใจของซูเหลียนอวิ้นพลันมอดไปทันที
เพราะว่านางไม่เคยได้ยินว่าวังหลังของฮ่องเต้คนใดจะมีสตรีเพียงคนเดียว ดังนั้นต่อให้เป็นต้วนเฉินเซวียนเอง…ก็คงจะไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
ทว่าน่าเสียดายตรงที่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นเพียงคนขี้หวงคนหนึ่งเท่านั้น ตลอดมาของของนาง นางมักต้องการครอบครองมันเพียงผู้เดียวเท่านั้น ของที่นางไม่อาจครอบครองได้เพียงคนเดียวนางเลือกที่จะไม่ครอบครองมันเลยดีกว่า
ดังนั้นหากถึงวันที่นางจำเป็นต้องแบ่งต้วนเฉินเซวียนให้คนอื่นจริงๆ นางไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของใคร เพราะนางจะเป็นคนที่ยอมแพ้ไปเอง ดังนั้นคำพูดเช่นนี้ถือเป็นคำพูดที่ทำให้นางมีสติอยู่ตลอดเวลาได้