ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 256 เที่ยวเล่น
วันเวลาหลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างสุขสงบเช่นนี้ ในหนึ่งเดือนที่ผ่านไปนั้นต้วนเฉินเซวียนอยู่ในจวนทุกวัน ในแต่ละวันหากเขาไม่เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนซูเหลียนอวิ้นก็ฝึกกระบี่กับนาง
ส่วนบางวันที่ไม่อยู่ในเรือนนั้นก็เป็นการพาซูเหลียนอวิ้นออกไปเดินเล่น พวกเขาทั้งไปเที่ยวเล่นและตามไปกินร้านอาหารต่างๆ ทั้งที่มีชื่อเสียงและร้านเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงทั่วทั้งเมือง นั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งสองต้องการที่จะเที่ยวให้ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้
“ต้วนเฉินเซวียนทำไมช่วงนี้ท่านว่างจัง…” ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วโผล่ออกมาเพียงศีรษะ “ช่วงนี้ฝ่าบาทไม่ได้มอบหมายภารกิจให้ท่านบ้างเลยหรือ” แม้ว่าการดื่มกินเที่ยวเล่นเช่นนี้จะดีไม่น้อย แต่ก็มักจะทำให้รู้สึก…ไม่สบายใจอยู่หน่อยๆ
เพราะผู้ใดจะรู้ว่าลี่หยวนตี้จะลงมือตอนไหน อีกอย่างคนเช่นลี่หยวนตี้หากเริ่มลงมือขึ้นมาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“ไม่มี” ต้วนเฉินเซวียนตอบ “วางใจเถิด ช่วงนี้ข้าว่าง” พอตัดสินใจสถานการณ์ได้แล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีอะไรให้ทำแล้ว!
เมื่อไม่ต้องแย่งชิงตำแหน่งนั้นแล้ว เรื่องราวต่างๆ… ใครอยากจะมาจัดการก็ตามใจเถิด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว!
“มา ลุกขึ้นมาดื่มน้ำหน่อยเถิด” ต้วนเฉินเซวียนรินน้ำแล้วให้ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นบอกว่าตัวเองกระหายน้ำ
“อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นรับแก้วน้ำมาจิบคำหนึ่ง “ร้อนจัง!” แม้ว่าจะไม่ร้อนมาก แต่ตอนนี้คือฤดูร้อน นางจึงไม่อยากดื่มอะไรที่มีอุณหภูมิร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว นางอยากกินเพียงของเย็นๆ เท่านั้น
“ร้อน?” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วแล้วยื่นมือไปหยิบแก้วจากมือซูเหลียนอวิ้นมาแล้วลองดื่มเอง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “อย่ามาหลอกข้า นี่ไม่เห็นจะร้อนเลยสักนิด!” เห็นชัดๆ ว่าอุ่นอยู่! มีความร้อนอยู่เพียงเล็กน้อยแค่นี้ซูเหลียนอวิ้นก็บอกว่าร้อนเสียแล้ว
เฮ้อ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้น้ำที่ซูเหลียนอวิ้นอยากดื่มนั้นจะต้องเป็นน้ำเย็น ยิ่งเย็นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อีกอย่างช่วงนี้น้ำแข็งใสก็ไม่เคยห่างมือของนางเลย แต่น้ำยิ่งเย็นเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ดีต่อร่างกายมากเท่านั้น โดยเฉพาะร่างกายของสตรีที่ว่ากันว่าหากกินของเย็นๆ จะทำให้ปวดท้อง
ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแล้วพึมพำออกมาว่า “อันที่จริงข้าคิดว่าหากพวกเราสองคนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปจะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน”
“ไม่ดีอย่างไร”
“หมายความว่าพวกเราไม่อาจอยู่แต่ในจวนแบบนี้อย่างไรเล่า เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนพวกเราหายใจทิ้งไปวันๆ เท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “เพราะท่านว่าหากวันหนึ่งพวกเรากินใช้ทุกอย่างจนหมดแล้ว พวกเราจะทำอย่างไร” ประเด็นหลักคือการที่ท่านอยู่แต่ที่บ้านนั้น มันทำให้นางไม่สามารถทำเรื่องต่างๆ ตามใจตัวเองได้!
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดถึงฝีมือการทำน้ำแข็งใสของหลีมู่เอามากๆ
“วางใจเถิด” ต้วนเฉินเซวียนหันมาเหล่มองซูเหลียนอวิ้น เวลาเพียงครู่เดียวก็ทำให้ต้วนเฉินเซวียนเดาได้แล้วว่าในใจของซูเหลียนอวิ้นมีแผนการอะไร “ทรัพย์สมบัติของจวนจิ้งอันโหว ต่อให้มีพวกเราสิบคู่ ชาตินี้ก็คงกินใช้ไม่หมดอยู่ดี อย่าห่วงเลย”
“อีกอย่างต่อให้ทรัพย์สมบัติของจวนจิ้งอันโหวหมดแล้ว พวกเราก็ยังมีท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าที่ตระกูลซูอีกมิใช่หรือ ไม่ว่าจะอย่างไรตระกูลซูคงไม่ปล่อยให้เจ้าหิวโหยหรอกกระมัง อ้อ ต่อให้ตระกูลซูไม่มี ข้าก็ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวอีก ข้ามีกิจการต่างๆ มากมาย อวิ้นเอ๋อร์ก็ลองดูก็แล้วกันว่าชาตินี้จะใช้หมดหรือไม่”
“อ้อ!” การคุยเรื่องทรัพย์สมบัติกับคนที่มีทรัพย์สินทั่วทั้งเมืองเช่นนี้ถือว่าไม่ฉลาดนัก!
“เอาล่ะ อย่าอำข้าอีกเลย” ต้วนเฉินเซวียนโน้มตัวลงแล้วยื่นมือเข้าไปในผ้าห่มเพื่อจั๊กจี้ซูเหลียนอวิ้น “รีบลุกขึ้นเถิด วันนี้พวกเราต้องออกไปข้างนอกอีกนะ”
“ไปข้างนอก?” ซูเหลียนอวิ้นหาว “ยังจะไปไหนอีก” ในเมืองนี้ยังมีสถานที่แห่งใดที่พวกเขาทั้งสองยังไม่ได้เที่ยวอีกบ้าง นางรู้สึกว่าเดือนนี้พวกเขาได้ไปเที่ยวมาจนหมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใหญ่ๆ อย่างโรงเตี๊ยมต่างๆ หรือสถานที่เล็กๆ อย่างร้านข้างทาง ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังทำความรู้จักเมืองนี้อีกรอบหนึ่ง!
“วันนี้ไม่ได้ออกไปเที่ยว” ต้วนเฉินเซวียนลูบผมดำขลับของซูเหลียนอวิ้น “วันนี้พวกเราจะเข้าวังหลวง” เวลาที่เอามือลูบผมของซูเหลียนอวิ้นทำให้นั้นรู้สึกดีชะมัด! รู้สึกราวกับว่ายิ่งลูบก็ยิ่งลื่นอย่างไรอย่างนั้น! ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจหยุดมือของตัวเองได้!
“เข้าวังอีกแล้วหรือ” เพราะสองครั้งล่าสุดที่นางเข้าวัง ครั้งแรกซูเหลียนอวิ้นก็เจอเข้ากับหนานกงหง ส่วนอีกครั้งก็เข้าไปเพราะลี่หยวนตี้เป็นคนเรียกนางเข้าไป ดังนั้นคำว่าเข้าวังสองคำนี้ถือเป็นคำที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่นักสำหรับซูเหลียนอวิ้น
“เสด็จอาบอกว่าไม่ได้พบพวกเรานานแล้ว จึงอยากทานข้าวร่วมกับเราสักมื้อ”
“ไปพบแค่ฮองเฮาใช่หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วเพื่อยืนยันให้มั่นใจอีกรอบ
“อืม…” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้าเกร็งๆ แต่ในใจของเขากลับแอบเพิ่มคำว่า ‘น่าจะ’ มาอีกสองคำ
“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว” เมื่อได้ยินว่าคนที่อยากพบพวกเขามีเพียงเกาอู่เตี๋ย ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้นเยอะ เพราะหากเทียบเกาอู่เตี๋ยกับกับลี่หยวนตี้แล้ว นางถือว่าใจดีและน่าเข้าใกล้มากกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ณ วังหลวง
“อวิ้นเอ๋อร์ เซวียนเอ๋อร์ พวกเจ้ามากันเสียที” ในตอนนั้นเกาอู่เตี๋ยกำลังถือหยกหรูอี้[1]อยู่ในมือ แต่เมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ามา นางก็วางหยกหรูอี้ไว้อีกด้านแล้วลุกขึ้นไปต้อนรับทั้งสอง
“อู่เตี๋ย เจ้าไม่ต้องรีบร้อนเช่นนั้น” ลี่หยวนตี้ที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งด้านบนของอีกฝั่งหนึ่งเมื่อเห็นเกาอู่เตี๋ยดีใจจนออกนอกหน้าเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี “พวกเขาก็มาถึงแล้วมิใช่หรือ เจ้านั่งรออีกหน่อยก็ได้”
ในทางตรงกันข้าม ตอนแรกซูเหลียนอวิ้นดีใจที่ได้พบเกาอู่เตี๋ย แต่ในอีกนาทีต่อมารอยยิ้มที่เบิกบานของนางก็กลายเป็นรอยยิ้มที่แข็งกระด้างอยู่บนใบหน้า
เพราะไม่ใช่เกาอู่เตี๋ยเพียงคนเดียวหรือที่อยากพบนาง เหตุใดลี่หยวนตี้ถึงอยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้รับสายตาเชิงสงสัยและตั้งคำถามจากซูเหลียนอวิ้น เขาก็ค่อยๆ หันหน้าไปอีกทาง เพราะอย่าถามเขาเลย เขาเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน!
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองคนตระเวนเที่ยวทั่วเมืองหลวง เป็นอย่างไรบ้าง สนุกหรือไม่” เกาอู่เตี๋ยจับมือของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วเดินไปอีกด้าน ไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่มีเจตนา แต่นางได้นั่งลงในตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างจากลี่หยวนตี้พอสมควร
“เอ่อ…เพคะ…สนุกมากเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นไม่กล้าเงยหน้ามองเกาอู่เตี๋ย เนื่องจากพฤติกรรมเช่นนี้หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือออกไปเที่ยว แต่หากจะพูดให้ไม่น่าฟังก็คือ…วันๆ ไม่ยอมทำงานทำการเอาแต่เที่ยวเล่น!
“สนุกก็ดีแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นลูบมือของซูเหลียนอวิ้นเบาๆ “ใช้โอกาสตอนยังเด็กออกไปเปิดหูเปิดตาให้มากๆ หน่อย มิเช่นนั้นหากรอจนอายุเท่าข้าแล้ว ต่อให้อยากออกไปก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
ประเด็นสำคัญคือท่านต้องออกไปให้ได้ก่อน…ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นเพิ่มอยู่ในใจ เฮ้อ นี่คือความน่าสงสารของผู้หญิงที่เข้าวังมาแล้ว พวกนางเข้ามาได้แต่ออกไปไม่ได้อีก นี่ถือเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายมากอีกแบบหนึ่ง
ทว่าคำพูดเช่นนี้นางคงกล้าบ่นในใจเท่านั้น เพราะต่อให้ลี่หยวนตี้ไม่อยู่ที่นี่ แต่ในวังหลังนั้นเป็นสถานที่ที่มีหูตามากมาย คำพูดเช่นนี้แค่นางคิดในใจยังรู้สึกไม่สบายใจเลย!
——
[1] หยกหรูอี้ เป็นวัตถุตกแต่งรูปโค้งที่ทำหน้าที่เป็นทั้งคทาพิธีทางศาสนาในพระพุทธศาสนาของจีน เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและโชคลาภในนิทานพื้นบ้านจีน ลักษณะแบบดั้งเดิม มีด้ามยาวรูปตัวเอส และหัวแบบรูปคล้ายกำปั้น เมฆหรือเห็ด