ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 257 อาเจียน
เมื่อเกาอู่เตี๋ยพาซูเหลียนอวิ้นเดินไปพูดคุยอีกด้าน แน่นอนว่าตอนนี้ก็จะเหลือเพียงต้วนเฉินเซวียนกับลี่หยวนตี้เพียงลำพัง
“เซวียนเอ๋อร์” คำพูดของเกาอู่เตี๋ยเมื่อครู่นี้ ลี่หยวนตี้ได้ยินและได้ยินเข้าไปถึงหัวใจของเขา
ไม่สามารถออกไปไหนได้ตามใจ ครึ่งชีวิตถูกขังเอาไว้ในกรงทองแห่งนี้ สำหรับเกาอู่เตี๋ยแล้วนี่คงจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจที่สุดของนางแล้วกระมัง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นี่เป็นกฎระเบียบที่บรรพบุรุษตั้งขึ้นมา นี่ไม่ใช่เพียงกฎระเบียบเท่านั้น แต่เป็นกฎเหล็กต่างหาก!
“ฝ่าบาทเรียกข้าหรือ” ต้วนเฉินเซวียนนั่งอยู่ที่นั่งด้านล่าง เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยตอบว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรอยากกำชับกระหม่อมหรือ”
“เที่ยวเล่นมาหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้ก็ควรกลับมาจริงจังได้แล้ว” ลี่หยวนตี้ดึงสายตากลับมาจากเอาอู่เตี๋ยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“ข้าก็ไม่เคยไม่จริงจัง” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มพลางเอ่ยตอบ “อีกอย่างเพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น พวกเรายังเที่ยวไม่หมดเลย”
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้า!” ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้ว “เจ้าควรรู้ว่าตัวเจ้าเองมีหน้าที่ความรับผิดชอบ!”
“ข้ามีภาระความรับผิดชอบอะไรหรือ” ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้ว แล้วหันไปมองซูเหลียนอวิ้นจากนั้นก็หันกลับมามองลี่หยวนตี้พลางเอ่ยว่า “ข้าแซ่ต้วน อย่าพูดถึงภาระหน้าที่เลย เรื่องใดๆ ก็ตามในแผ่นดินนี้ อันที่จริงแล้วไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย”
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้า…” เดิมทีลี่หยวนตี้ตั้งใจจะพูดคุยอย่างมีเหตุมีผลจึงใช้น้ำเสียงจริงจังเพื่อพูดคุยกับต้วนเฉินเซวียน แต่เมื่อเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนคล้ายไม่สนใจ และไม่ใส่ใจเรื่องใดๆ เลย และคล้ายว่าไม่ได้พูดโกหกด้วย น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเกลียดข้าหรือ…เจ้าไม่พอใจที่ข้าให้เจ้าใช้แซ่ต้วนหรือ”
“เกลียด?” ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนเท่ห์คล้ายว่าตัวเองได้ยินเรื่องคาดไม่ถึงมาก่อน “ข้าเปล่า” ตรงกันข้าม ข้าต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำที่ท่านให้ข้าใช้แซ่ต้วน!
เพราะหากไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาใช้แซ่ต้วนแต่ใช้แซ่หนานกง อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ต่อให้เป็นชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นก็คงทำได้เพียงมองเขาอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่ก้าวเดียว!
เพราะคนที่แต่งงานกับคนแซ่หนานกง ชีวิตนี้คงจะต้องบอกลากับคำว่าสงบและมั่นคงไปได้เลย
“เช่นนั้นทำไมเซวียนเอ๋อร์ถึง…” ลี่หยวนตี้ไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ
เพราะในมุมมองของลี่หยวนตี้แล้ว บนโลกใบนี้คงไม่มีใครขัดขวางพลังดึงดูดของอำนาจตำแหน่งฮ่องเต้ได้ เพราะอำนาจนั้นคล้ายเป็นโคมไฟสว่างไสวชั้นดี ส่วนพวกเขานั้นก็เปรียบเสมือนแมงเม่าที่โบยบินล้อมรอบโคมไฟนั้น
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ จนทำให้ร่างกายแหลกสลายไปในเปลวไฟได้ แต่แสงไฟที่สว่างไสวนั้นกลับทำให้พวกเขาทนไม่ได้อยากจะบินเข้ากองไฟนั้นเร็วๆ แม้ว่าจะต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง
“เอาล่ะ” เกาอู่เตี๋ยลุกขึ้นแล้วจับมือซูเหลียนอวิ้นพลางเอ่ยว่า “พวกเรารีบไปกินข้าวกันเถิด มัวแต่คุยกันเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมดเพราะเด็กซนอย่างเจ้าแล้ว แถมยังจะทำให้ข้ากินไม่ลงอีกต่างหาก!”
“เสวยอาหารกันก่อนเถิดพะย่ะค่ะ” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มให้ลี่หยวนตี้
เพราะเขารู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองคนมีมุมมองความคิดและคำถามต่างๆ ที่แตกต่างกันมากเกินไป! ดังนั้นเวลาในตอนนี้หากยังคุยกันต่อไปเกรงว่าคงหาคำตอบออกมาไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างหากยังคุยกันต่อไปเกรงว่าตอนจบอาจจะไม่สวยอย่างแน่นนอน
อีกอย่างที่เขาพาซูเหลียนอวิ้นมาที่นี่ในวันนี้ก็เป็นเพราะตอบรับคำเชิญของเกาอู่เตี๋ยก็เท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อพูดคุยเรื่องน่าเบื่อและไร้สาระกับตาแก่ลี่หยวนตี้ผู้นี้ หากอยากจะพูดคุยกันเรื่องนี้จริงๆ ก็เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันเพียงลำพังจะดีกว่า!
เขาไม่อยากให้ซูเหลียนอวิ้นรู้เรื่องหรือเห็นอะไรเข้า
บรรดาสาวใช้ในวังรีบยกอาหารออกมาจัดโต๊ะอย่างรวดเร็ว ด้วยปฏิกิริยาที่ว่องไวเช่นนี้ ไม่นานนักอาหารก็ถูกนำมาจัดวางไว้เต็มโต๊ะแล้ว
แต่จะว่าไปก็ถูกต้องแล้ว อาหารพวกนี้น่าจะถูกเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วกระมัง เพราะในฤดูร้อนเช่นนี้อุณหภูมิของอาหารควรจะอุ่นถึงจะดีที่สุด หากร้อนเกินไปเกรงว่าคงจะส่งผลให้ภาพไม่สวยอย่างแน่นอน!
“มา อวิ้นเอ๋อร์” เกาอู่เตี๋ยคีบอาหารเอาไปวางไว้ให้ในจานของซุเหลียนอวิ้น “ลองชิมนี่สิ นี่เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของพวกเรามากที่สุดแล้ว ทะเลน้ำแดง มา ลองชิมดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลายและรู้สึกว่าคิ้วของตัวเองขมวดแน่นขึ้นและเริ่มแสบคอ
เพราะช่วงนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความอยากอาหารของนาง นางรู้สึกไม่อยากกินเนื้อสัตว์เอามากๆ รวมถึงอาหารที่มันและเค็มจัดเช่นนี้ นางกลับไม่ค่อยชอบกินด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อซูเหลียนเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอยของเกาอู่เตี๋ยที่มองมาที่นาง คำพูดที่นางเตรียมจะพูดออกไปว่า ช่วงนี้นางไม่อยากอาหารจำพวกนี้พลันกลืนหายลงคอไปทันที…
ช่างเถิดๆ ก็แค่เนื้อเพียงแค่คำเดียวเอง! ซูเหลียนอวิ้นหลับตาลงแล้วเอามันเข้าปากแล้วกลืนลงไป ไม่ต้องเคี้ยวก็คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง
“เกาอู่เตี๋ยอาหารของเจ้าอร่อยที่สุดแล้ว” ลี่หยวนตี้ยื่นมือออกมาคีบอาหารจานเดียวกับที่เกาอู่เตี๋ยคีบให้ซูเหลียนอวิ้น “ที่อื่นไม่ว่าจะปรุงอย่างไรก็คงให้รสชาติแบบของเกาอู่เตี๋ยไม่ได้”
“แหวะ…แค่กๆๆ แค่กๆๆ”
“อวิ้นเอ๋อร์ เป็นอะไรไป” เดิมทีต้วนเฉินเซวียนกำลังดูอยู่ว่าจะคีบอาหารจานไหนให้ซูเหลียนอวิ้นกินดี
เพราะช่วงนี้อาการของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไร เขาเองย่อมรู้ดี! แต่เนื้อชิ้นเมื่อครู่นี้เขาเห็นว่าเป็นเพียงเนื้อแค่ชิ้นเดียวแถมเกาอู่เตี๋ยยังเป็นคนคีบให้อีก ดังนั้นต่อให้เป็นเขาก็คงไม่กล้าถึงขั้นคีบออกมาไว้ในจานของตนอย่างแน่นอน
เพราะนิสัยของเกาอู่เตี๋ยนั้น หากเขาแย่งเนื้อชิ้นนั้นไปกิน อีกประเดี๋ยวนางก็คงคีบชิ้นใหม่มาให้ซูเหลียนอวิ้นชิมอยู่ดี ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องเอาให้ซูเหลียนอวิ้นชิมให้ได้
“อวิ้นเอ๋อร์ เป็นอะไรไป อาหารนี้มัน…” เกาอู่เตี๋ยขมวดคิ้ว นางไม่กล้าเอ่ยประโยคหลังออกมา
หรือว่าอาหารจะมีปัญหาหรือไม่ก็…มีพิษกระมัง
เพราะตอนนี้ลี่หยวนตี้ก็อยู่ตรงนี้ด้วย หากอาหารของนางมีปัญหาอะไรขึ้นมา นางจะเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้!
“ใช่แล้ว เจ้าเป็นอะไรไปอวิ้นเอ๋อร์” ลี่หยวนตี้วางตะเกียบเมื่อครู่ที่ตนเพิ่งใช้คีบอาหารลงแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าไม่สบายหรือ”
หลังจากที่หายใจหอบอยู่สักพัก อาการคลื่นไส้ของนางเมื่อกี้ก็ดีขึ้นมากทีเดียว ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ขอบพระทัยฮองเฮาและฝ่าบาทที่เป็นห่วง…หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เป็นไร…” ความคลื่นไส้เมื่อครู่นี้มาอย่างรวดเร็วเกินไป แม้ว่านางจะพยายามทนแต่ก็ทนไม่ไหวอยู่ดี!
คงจะเป็นเพราะ…เมื่อครู่นี้นางกลืนลงท้องอย่างรวดเร็วเกินไปกระมัง เฮ้อ ถ้ารู้แต่แรกนางขอเคี้ยวให้ละเอียดแล้วค่อยๆ กลืนจะดีกว่า นี่มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าดื่มน้ำก่อนเถิด” ต้วนเฉินเซวียนลูบหลังของซูเหลียนอวิ้น “เสด็จอา ช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ ดังนั้นคิดว่าอาหารจานนี้คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เป็นอวิ้นเอ๋อร์ที่ไม่ระวังเอง”
“อ้อๆ เช่นนี้เอง” มือที่กำเอาไว้แน่นของเกาอู่เตี๋ยค่อยๆ คลายออก “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมอวิ้นเอ๋อร์ไม่บอกข้าก่อนเล่า ไม่เป็นไร ไม่อยากกินเนื้อสัตว์ อาหารที่ทำจากผักของอาก็ไม่อร่อยไม่แพ้กัน!