ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 259 โดนวางยาพิษ
“ดียิ่ง ดียิ่ง” เกาอู่เตี๋ยตื่นเต้นมากจนแทบจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ “เร็วเข้า ซิ่งหยวน รีบไปเอาอั่งเปามาให้หมอหลวงเร็วเข้า” อวิ้นเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้วแถมยังคล้ายว่านางเป็นคนแรกที่รู้ด้วย แล้วจะไม่ให้นางภูมิใจและตื่นเต้นได้อย่างไร
“เพคะฮองเฮา” ซิ่งหยวนเองก็ดีใจมากเช่นกัน เพราะนานมากแล้วที่นางไม่ได้เห็นฮองเฮาของนางแสดงอาการมีความสุขเช่นนี้ ขอเพียงฮองเฮาของนางดีใจ เรื่องอื่นๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง!
ส่วนคนที่สำคัญที่สุดในเวลานี้มีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง แน่นอนว่านางกำลังลนลานและตื่นเต้นอย่างมาก ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรจัดวางมือเท้าของตัวเองอย่างไรดี
เนื่องจากการตั้งครรภ์หรือมีครรภ์ สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วถือว่าเร็วเกินไปหน่อย นี่มัน นี่มัน นางยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรสักอย่าง เหตุใดจึงบอกว่านางท้องเสียแล้ว นี่มันรวดเร็วเกินไปจนนางไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรต่อไปดี
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือไม่ เจ้าท้องแล้ว” ตอนนี้ท่าทางของต้วนเฉินเซวียนตื่นเต้นกว่าซูเหลียนอวิ้นเสียอีก และเป็นผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดในเหตุการณ์ตอนนี้ด้วย
เพราะว่าเพิ่งผ่านมาได้ไม่นานก็กำลังจะมีเจ้าตัวน้อยนุ่มนิ่มที่หน้าตาเหมือนอวิ้นเอ๋อร์ของเขาออกมาวิ่งเล่นเสียแล้ว เช่นนี้จะไม่ให้เขาดีใจ ตื่นเต้นและเลือดลมพุ่งพล่านได้อย่างไร
“ข้าข้าข้าได้ยินแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นแกะมือทั้งสองข้างที่กำลังเขย่าไหล่ของนางอยู่ออก “ท่านอย่าเขย่าข้าได้หรือไม่ อีกอย่างที่ท่านกอดข้า ท่านก็กอดมานานพอแล้วกระมัง ปล่อยได้แล้ว…” ร้อนยิ่ง จากอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้ร้อนอย่างยิ่ง
ในด้านของจิตใจ ตอนนี้กำลังมีคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองนางอยู่ การโดนสายตาจับจ้องเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่าง ส่วนทางด้านกายภาพนั้น ต้วนเฉินเซวียนกอดนางเอาไว้แน่นขนาดนี้ ความรู้สึกที่ร่างกายสัมผัสร่างกายนั้นก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนย่างได้เช่นกัน
“ก็ข้าตื่นเต้นมากนี่นา…” ต้วนเฉินเซวียนหัวเราะแหะๆ เป็นการบอกซูเหลียนอวิ้นว่าอย่าถือสาเขาเลย
เพราะในช่วงเวลาเพียงครูเดียวเท่านั้น ต้วนเฉินเซวียนก็ดีใจเสียจนตั้งชื่อให้กับลูกที่อยู่ในท้องของซูเหลียนอวิ้นได้ไม่ถึงสามเดือนไปสิบกว่าชื่อแล้ว
เอ่อ…ชื่อก็ถูกตั้งขึ้นมาแล้ว ส่วนจะเรียกว่าอย่างไรนั้น…ในเมื่อชื่อทั้งสิบชื่อนี้เป็นชื่อที่ต้วนเฉินเซวียนตั้งขึ้นมาให้สำหรับลูกสาวทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องชื่อของลูกชายนั้น เขายังไม่ได้คิดไว้เลยสักชื่อ เพราะหากเทียบกันแล้ว เขาชอบลูกสาวกว่ามาก
เพราะเด็กชายเวลาที่โตขึ้นแล้วเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้วกระมัง…เขาโตขึ้นมาอย่างไรนั้น ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน เขานั้นรู้เหตุการณ์ดีเป็นที่สุด ผู้ที่เป็นคนที่คอยดูแลเขาพวกนั้น วันๆ หนึ่งไม่ต้องทำอย่างอื่น แค่ตามเก็บของที่เขารื้อกระจัดกระจายทั้งวันแค่นั้นก็พอแล้ว
ดังนั้นสำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว เด็กชายถือเป็นตัวป่วนที่ชอบวิ่งเพ่นพ่านเท่านั้น ส่วนเด็กผู้หญิงในความหมายของต้วนเฉินเซวียนนั้น คือเด็กที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ยิ่งโตก็ยิ่งสวยแถมยังสามารถเปลี่ยนการแต่งตัวให้สวยงามได้ทุกวันอีกด้วย!
“ใครก็ได้มาเก็บอาหารพวกนี้ออกไปซะ” เกาอู่เตี๋ยกำชับ “ในเมื่ออวิ้นเอ๋อร์ตั้งครรภ์แล้ว อย่างแรกที่ต้องให้ควบคุมอย่างเข้มงวดก็คือก็คือเรื่องอาหารที่จะกินเข้าไป ซิ่งหยวนไปตามพ่อครัวที่ชำนาญด้านการทำอาหารสำหรับสตรีมีครรภ์มาที่นี่!”
“เพคะ ฮองเฮา” ซิ่งหยวนไม่เพียงพยักหน้าแต่ยังรีบถอยออกไปทันที
สาวใช้ในวังต่างออกมาเก็บอาหารบนโต๊ะที่เพิ่งกินเข้าไปได้ไม่กี่คำกันอย่างวุ่นวาย ซูเหลียนอวิ้นเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้ เพราะเพียงนางมองด้วยตาเปล่าเช่นนี้ นางก็รู้ได้ทันทีว่าของพวกนี้เป็นอาหารเลิศรสเหนืออาหารธรรมดา แต่กลับต้องโยนทิ้งไปเช่นนี้ ทำให้นางอดเสียดายไม่ได้ที่จะต้องทิ้งอาหารอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้
“ฝ่าบาท…คือ..พระนาสิก…” ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังเศร้าใจและทอดถอนใจอยู่นั้น สายตาของนางนั้นก็บังเอิญหันไปเห็นพอดีว่าลี่หยวนตี้กำลัง…เลือดกำเดาไหล?
เลือดกำเดาไหล ซูเหลียนอวิ้นข้องใจ นี่คงเกิดจากการที่อากาศร้อนเกินไปจนทำให้เป็นเช่นนี้กระมัง หรือเป็นเพราะว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ทำให้วันหนึ่งๆ เขาได้กินแต่อาหารดีๆ ร่างกายได้รับการบำรุงมากเกินไปจนเป็นเช่นนี้ได้…
“ฝ่าบาท เหตุใดถึงมีพระโลหิตกำเดาได้เพคะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเอ่ยออกไปเช่นนี้ เกาอู่เตี๋ยจึงหันไปเห็นท่าทางตกใจของลี่หยวนตี้ นางถอนใจแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาและเช็ดเลือดให้ลี่หยวนตี้อย่างระมัดระวัง
“ข้า ไม่ทันระวังตัว” ร่างกายของลี่หยวนตี้แข็งทื่อ เขาไม่กล้าขยับตัวดลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาขอซึมซับสถานการณ์ที่ทำให้เกาอู่เตี๋ยเขยิบเข้ามาใกล้ๆ เช่นนี้นานๆ หน่อย
“หมอหลวงสวี ในเมื่อท่านมาแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยตรวจร่างกายของฝ่าบาทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเช็ดเลือดจนแห้งแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เป็นเกียรติของกระหม่อม” หมอหลวงสวีหยิบเครื่องมือต่างๆ ที่ตัวเองเพิ่งเก็บเข้าไปเมื่อครู่นี้ออกมาใหม่แล้วจัดวางให้เป็นระเบียบอีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มลงมือตรวจชีพจรอย่างเคร่งเครียด
“ฮองเฮา มิทราบว่าพอจะให้กระหม่อมตรวจดูผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เช็ดพระโลหิตให้ฝ่าบาทเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่” แน่นอนว่าการตรวจชีพจรของหมอหลวงสวีในครั้งนี้ย่อมรวดเร็วกว่าการตรวจชีพจรให้ซูเหลียนอวิ้นมาก ทว่าสีหน้าหลังจากการตรวจของเขานั้นจริงจังและเคร่งเครียดกว่ากันมาก
“ได้” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของหมอหลวงสวีเช่นนั้น ใจของนางก็กระตุกวูบ นางรู้สึกว่าจากท่าทางของหมอหลวงสวีนั้น อาการเลือดกำเดาของลี่หยวนตี้นั้นอาจจะไม่ใช่อาการเลือดกำเดาธรรมดา?
หมอหลวงสวีรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาแล้วหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงค่อยๆ หลับตาเพื่อให้ตัวเองรับรู้ถึงกลิ่นโลหิตที่มาจากผ้านั้นได้แม่นยำขึ้น
“ฮองเฮา ฝ่าบาท” ครู่หนึ่งหมอหลวงสวีก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วถวายบังคม “กระหม่อมเกรงว่า เป็นเพราะตรวจไม่เจอความผิดปกติในอาหารเหล่านั้น ฝ่าบาทจึง…โดนวางยาพิษพะย่ะค่ะ”
“อาหารผิดปกติ!” เรื่องที่นางกลัวมากที่สุดเป็นจริงจนได้…
เสียงของเกาอู่เตี๋ยสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด “หมอหลวงสวี ท่านรีบลุกขึ้นมาอธิบายดีๆ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า รีบพูดมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
สีหน้าของลี่หยวนตี้เองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน เพราะเมื่อครู่นี้ยังยินดีที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งครรภ์อยู่เลย แต่วินาทีต่อมากลับมีเรื่องสะเทือนแผ่นดินเช่นนี้ เรื่องที่เขา…โดนวางยาพิษ
“ยังดีที่ฝ่าบาทยังกินอาหารเข้าไปไม่มาก สถานการณ์ตอนนี้จึงยังรักษาได้ทันอยู่” หมอหลวงสวีค่อยๆ ขยับร่างกายตัวเองช้าๆ “แต่พิษของฝ่าบาทนี้ เท่าที่กระหม่อมลองดมดูอย่างคร่าวๆ นั้น มีพิษกว่าสิบชนิดรวมอยู่ในนั้น ความรุนแรงของพิษนั้นอยู่ในขั้นหวังผลได้ มิเช่นนั้นแล้วในเวลาสั้นๆ ที่ฝ่าบาททรงเสวยไปเพียงคำเดียวคงจะไม่มีพระโลหิตกำเดาไหลออกมา”
ดังนั้นหากกินเข้าไปอีกหลายคำ คนผู้นี้คงไม่ต้องรอให้แสดงอาการใดๆ แต่ระหว่างกินคงจะลาโลกไปโดยไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเทพองค์ใดก็คงช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้!