ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 260 มนุษย์
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดี” เกาอู่เตี๋ยร้อนใจ “หมอหลวงสวี ตอนนี้ท่าน…ตอนนี้ฝ่าบาทจะต้องทำอย่างไร” เพราะเมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวงสวีแล้ว พิษที่อยู่ในตัวของลี่หยวนตี้ตอนนี้…น่าจะ…ไม่น้อยทีเดียว
“ฝ่าบาท เชิญฝ่าบาททรงเสวยสิ่งนี้ก่อน” หมอหลวงสวีเอามือล้วงหยิบขวดกระเบื้องขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยาแล้วเทยาออกมาหนึ่งเม็ด “ฝ่าบาททรงเสวยสิ่งนี้เพื่อยับยั้งความรุนแรงของพิษเอาไว้เบื้องต้นก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ…ตอนนี้กระหม่อมเองก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าว่าจะสามารถขจัดพิษได้ทันที ดังนั้นขอให้พระองค์ทรงพักผ่อนก่อน อย่าขยับพระวรกายมากจะเป็นผลดีที่สุดเพื่อไม่ให้พระโลหิตสูบฉีดมากเกินไปพะย่ะค่ะ”
“อืม” แก้มของลี่หยวนตี้เริ่มกระเพื่อม เขาต้องสูดหายใจเข้าไปอย่างรุนแรงกว่าจะเอ่ยคำนี้ออกมาได้
ดูจากท่าทางของเขาแล้วคล้ายว่าเขากำลังควบคุมตัวเองได้ดีมาก
ทว่าในความเป็นจริงแล้วในใจของลี่หยวนตี้ตอนนี้แทบจะอยากเขวี้ยงของรอบๆ ตัวให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะการโดนวางยาพิษ แถมยังโดนในวังด้วยนั้น คนไม่หวังดีผู้นี้ถือว่ากล้าดีเกินไปหน่อยหรือไม่!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ขนาดเขาเป็นฮ่องเต่ยังยังโดนลงมือได้อย่างง่ายดายเช่นนี้…
คำพูดเมื่อครู่ของหมอหลวงสวีและความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น แน่นอนว่าลี่หยวนตี้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าพิษนี้แม้แต่หมอหลวงที่ได้ชื่อว่าฝีมือทางการแพทย์ดีที่สุดของวังหลวงอย่างหมอหลวงสวียังไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถถอนพิษได้แต่ทำได้เพียงสกัดเอาไว้ก่อนเท่านั้น
“ฝ่าบาท มาเถิด หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปนอนพักบนเตียงของหม่อมฉันก่อนเพคะ” เกาอู่เตี๋ยผู้ที่แตกตื่นที่สุดในตอนแรก ตอนนี้นางค่อยๆ สงบลง ไม่ใช่ว่านางไม่เป็นห่วง แต่เป็นเพราะ เรื่องราวทั้งหมดยังไม่มีข้อสรุปและยังไม่มีผลที่แน่นอน ดังนั้นในขั้นแรกพวกเขาจะต้องไม่ซ้ำเติมให้เรื่องวุ่นวายมากขึ้นไปอีก!
“ได้” ลี่หยวนตี้ไม่พยายามบอกว่าเจ้าไม่ต้องพยุงข้าและฝืนว่าตัวเองไหวแต่อย่างใด แต่เขากลับปล่อยตัวไปตามธรรมชาติเพื่อให้เกาอู่เตี๋ยและขันทีคนอื่นๆ พยุงเขาไปที่เตียงอย่างช้าๆ เพื่อให้เขาพักผ่อนก่อน
“เฉินเซวียนพวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด” ลี่หยวนตี้เอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้ายังไม่ตาย”
อยากให้เขาตายรึ เช่นนั้นก็ต้องโจมตีให้เขาถึงแก่ความตายในคราเดียว อย่าได้ปล่อยให้เขาเหลือโอกาสหายใจแม้เพียงริบหรี่
มิเช่นนั้นแล้วหากเขายังไม่ตายและยังเหลือลมหายใจอยู่แม้เพียงชั่วครู่ ผู้ที่กล้าเล่นงานเขาก็ต้องระวังหัวของตัวเองไว้ให้ดี!
“อืม อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปดูแลครรภ์ให้ดี อย่าคิดมาก” เกาอู่เตี๋ยแอบเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น “ที่นี่กำลังวุ่นวาย พวกเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนดีที่สุด เซวียนเอ๋อร์ ดูและอวิ้นเอ๋อร์ให้ดีด้วย”
“พะย่ะค่ะ” ตั้งแต่ตอนที่หมอหลวงบอกว่าซูเหลียนอวิ้นตั้งครรภ์ ต้วนเฉินเซวียนก็ไม่ยอมปล่อยมือซูเหลียนอวิ้นมาตลอด ดังนั้นเมื่อเกาอู่เตี๋ยเช่นนี้ แน่นอนว่ามือของต้วนเฉินเซวียนก็ยิ่งกำแน่นขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“เช่นนั้นข้ากับอวิ้นเอ๋อร์…ขอตัวกลับก่อน” ต้วนเฉินเซวียนมองผู้ที่เมื่อครู่นี้ยังวางตัวสูงส่งแต่ตอนนี้กลับนอนหายใจอ่อยอยู่บนเตียงอย่างลี่หยวนตี้คราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เสด็จอา พวกเราอยู่กับท่านตลอด”
“ข้ารู้” เกาอู่เตี๋ยพยักหน้า “ไปเถิด”
แม้จะออกจากประตูวังและขึ้นรถม้าไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ยังคงรู้สึกราวกับว่าตัวเองยังไม่ได้สติกลับมาจากเหตุการณ์น่าเสียขวัญเมื่อครู่นี้
เนื่องจากเรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปหรือไม่ ตอนแรกทุกคนต่างตื่นเต้นอยู่กับข่าวการตั้งครรภ์ของนาง ทว่าวินาทีถัดมาฮ่องเต้ผู้มีฐานะที่สูงส่งที่สุดในต้าชั่วกลับเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เสี่ยงถึงแก่ความตายได้ทุกเมื่อเช่นนี้
นี่ควรเรียกว่าอะไร โลกใบนี้ไม่มีอะไรจีรังใช่หรือไม่
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังกลัวอยู่หรือ” ต้วนเฉินเซวียนยังคงบีบมือที่เย็นเฉียบของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้อย่างไม่ยอมวางมือ “วางใจเถิด พวกเราออกมาจากที่นั่นแล้ว พวกเรากำลังกลับบ้าน ในบ้านของพวกเราคือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด”
“อืมๆ” ซูเหลียนอวิ้นเอนกายเข้าไปซุกในอกของต้วนเฉินเซวียน “กลับบ้านกันเถิด” ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรกถึงคำพูดที่ว่ากันว่าในวังหลวงเป็นสถาที่ที่กินคนหายไปได้โดยไม่กระพริบตา
มนุษย์นั้นมีร่างกาย มนุษย์จึงมีจุดอ่อนหรือกล่าวได้ว่าสามารถถึงแก่ความตายได้
ชะตาชีวิตเป็นสิ่งหนึ่งที่บอบบางมากที่สุดอย่างหนึ่ง
หลังจากที่กลับถึงจวนแล้ว ต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้นก็มองตาแล้วรู้ใจกันทันที ต่างคนต่างไม่มีใครเอ่ยเรื่องที่ลี่หยวนตี้โดนวางยาพิษออกไป เพราะเรื่องนี้หากคนอื่นยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้เป็นอย่างยิ่งที่จะก่อให้เกิดความน่าสยดสยองได้ในภายหลัง
นั่นเป็นเพราะตำแหน่งรัชทาบาทยังไม่ได้แต่งตั้ง ทูลจากเมืองเยียลี่ว์ก็เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ใจของคนจึงปั่นป่วนวุ่นวาย
“อวิ้นเอ๋อร์ คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าจะตั้งครรภ์เสียแล้ว!” เมื่อจางเจาหวารู้ข่าวการตั้งครรภ์ของซูเหลียนอวิ้น แน่นอนว่านางดีใจสุดขีด หากไม่ได้เป็นเพราะว่าช่วงสามเดือนแรกสภาพครรภ์ยังไม่แข็งแรงจึงยังไม่ควรประกาศออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วล่ะก็ ตอนนี้จางเจาหวาคงจะประกาศข่าวการตั้งครรภ์ออกไปให้ทุกบ้านได้รู้กันหมดแล้ว
“เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไปหมดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด “แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี” หากพูดตามตรงแล้วนางรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะตาขวาของนางกระตุกอยู่ตลอดเวลา…
ราวกับว่าตั้งแต่วันที่ลี่หยวนตี้โดนวางยาพิษนี้ เมืองหลวงแห่งนี้…จะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
“อวิ้นเอ๋อร์ ง่วงแล้วใช่หรือไม่” เมื่อจางเจาหวาเห็นอาการขาดๆ เกิดๆ ของนางราวกับว่านางไร้เรี่ยวแรง จึงอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เนื่องจากการประสบการณ์การตั้งครรภ์เช่นนี้ จางเจาหวาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ดังนั้นที่เห็นนางเล่าเรื่องราวอย่างจริงจังน่าเชื่อถือนั้น นางล้วนเอาคำพูดมากจากปากคนอื่นที่เคยตั้งครรภ์มาแล้ว เมื่อนางเพียงแค่เคยครูพักลักจำมาเช่นนี้ นางจึงไม่แน่ใจถึงวิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
“หากเจ้าง่วงก็กลับไปพักผ่อนเถิด นั่งรถม้ากระเทือนมาตลอดทางเช่นนี้เจ้าต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องอยู่ฝืนคุยเป็นเพื่อนข้าอีกต่อไปแล้ว” จางเจาหวายกมือขึ้นเพื่อเป็นการบอกให้สาใช้ของตัวเองพาซูเหลียนอวิ้นไปส่ง
“เช่นนั้น ลูกขอตัวก่อนนะเพคะ” ตอนนี้นางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆ หากได้นอนสักตื่นคงดีขึ้น…
“ไปเถิดๆ” จางเจาหวาพยักหน้า “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปจัดห้องเก็บของของข้าสักหน่อยจะได้ดูว่ามีของอะไรที่พอให้เจ้ากินเพื่อบำรุงครรภ์ได้บ้าง อีกประเดี๋ยวจะให้คนเอาไปส่งให้เจ้า” ของบำรุงร่างกายสำหรับคนท้องคงไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดกระมัง ไหนจะยังมีของต้องห้ามสำหรับคนท้องอีก อีกประเดี๋ยวนางจะต้องไปหาข้อมูลเรื่องนี้สักหน่อย! ……
“หลีมู่” เมื่อกลับถึงเรือนของตัวเองแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอนตัวนอนลงบนเตียงโดยไม่เปลี่ยนชุด “ช่วยนวดศีรษะให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าปวดหัวมาก” ส่วนต้วนเฉินเซวียนนั้นเมือพานางส่งถึงเรือนจางเจาหวาแล้วก็บอกว่าเขาต้องไปที่อื่น ดังนั้นจึงปลีกตัวหายไป
ซึ่งนางก็เข้าใจได้ เพราะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางจะข้องใจมากกว่าหากต้วนเฉินเซวียนไม่ร้อนใจ