ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 262 สั่งเสีย
ซูเหลียนอวิ้นไม่เอ่ยอะไรอยู่เป็นเวลานาน นางเพียงใช้สายตาตักเตือนต้วนเฉินเซวียน ใครให้ท่านไม่ฟังข้า ใครให้ท่านดูถูกข้า! เห็นหรือไม่ ข้าเตือนท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ท่านระวังตัว ตอนนั้นท่านยืนยันว่าอย่างไรนะ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วเห็นหรือไม่
เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นซูเหลียนอวิ้นไม่พูดจา แต่เพียงใช้สายตาจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เขาจึงรู้สึกว่าหน้าของเขากำลังเกร็ง เพราะการขายหน้าก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่เขายังขายหน้าอยู่ต่อหน้ากันเพียงสองคนเช่นนี้อีก
ลูกในท้องของอวิ้นเอ๋อร์กำลังมองเขาอยู่ด้วยหรือไม่และก็กำลังสมน้ำหน้าเขาที่เขาไม่ยอมฟังคำพูดของแม่…จนคนอื่นวางแผนให้ตกหลุมพลางเช่นนี้ได้…
ซูเหลียนอวิ้นมองต้วนเฉินเซวียนที่ค่อยๆ ก้มหน้าลง ในใจของนางพลันเกิดความรู้สึกว่าผิดขึ้นมาเอง ช่างเถิด ทุกคนล้วนมีเวลาที่ผิดพลาดเช่นนี้ นางคงไม่อาจใช้ความผิดครั้งนี้เล่นงานเขาโดยไม่ยอมวางมือได้
“เช่นนั้น…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “เช่นนั้นตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง หนานกงหงเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาน่ะหรือ” ต้วนเฉินเซวียนกรอกตา “หมูก็คือหมู ต่อให้รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์แค่ไหนก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เขาเป็นหมูไม่ได้หรอก เขาคงคิดว่าแผนการของเขาไร้ที่ติ ไม่มีทางเกิดเรื่องผิดพลาด ดังนั้นตอนที่ข้าพาคนไปที่จวนองค์ชายสาม เขายังคงนอนแผ่อยู่บนเตียงกินอาหารหมูอย่างนั้น เรียกได้ว่าข้ายังไม่ทันได้ออกแรงลงมืออะไรกับเขาโยนเข้าไปนอนในคุกได้แล้ว”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนนึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองไปถึงที่จวนของหนานกงหง เขาก็รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา เพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดถึงมีคนใจกล้าถึงเช่นนี้ได้! ทำเรื่องเลวร้ายกลางวันแสกๆ ก็ว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ถึงกับนอนฉลองอย่างสบายใจเฉิบอยู่ได้ราวกับต้องการให้คนทั่วทั้งหล้านี้ได้รับรู้ว่าตอนนี้เขามีความสุข มีความสุขมากจนไม่รู้ว่าจะแสดงออกมาอย่างไรดี
“แล้วฝ่าบาทเล่า พิษในร่างกายเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ในเมื่อไม่มีอะไรต้องกังวลหนานกงหงแล้ว ปัญหาที่เหลือก็คงมีเพียงลี่หยวนตี้เท่านั้นแล้ว ส่วนลี่หยวนตี้…ยอมให้จัดการหนานกงหงแถมยังจัดการอย่างง่ายๆ เช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
“ทางฝ่าบาทน่ะหรือ…” ต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิดไปครู่หนึ่งราวกับว่าไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรให้ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจได้อย่างชัดเจน ทว่าคำพูดนั้นกลับไม่อาจเอ่ยออกมาได้ทั้งหมดก็มีเสียงของความรีบร้อนเข้าขัดจังหวะ
“นายท่าน!” เป็นเสียงของหลิวจือนั่นเอง
“หลิวจือ?” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว “ทำไม มีเรื่องอะไรรึ” แม้ว่าเรื่องอื่นหลิวจืออาจจะไม่ได้เรื่อง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้หลิวจือกลับรู้จักแยกแยะเป็นอย่างดี เวลาที่เขาอยู่กับซูเหลียนอวิ้นตามลำพัง หากไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ หลิวจือไม่มีทางรบกวนพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เขากลับเข้ามารายงานอย่างรีบร้อนเช่นนี้… คงจะไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกระมัง!
“นายท่าน ในวังส่งคนมาแจ้งว่าให้ท่านรีบเข้าโดยเร็วที่สุด” หลิวจือรายงานออกมาทีเดียวแต่ไม่ได้รายงานถึงเหตุผลที่ทำไมถึงต้องเข้าวัง เพราะเหล่าองครักษ์ไม่ใช่คนหูหนวกดังนั้นทุกคนย่อมรู้เรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งครรภ์ดี ดังนั้นข่าวอะไรที่อาจจะทำให้ซูเหลียนอวิ้นไม่สบายใจ พวกเขาล้วนพยายามปิดบังเอาไว้ราวกับนัดกันมาแล้วอย่างดีให้ปิดบังซูเหลียนอวิ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสียงร้อนใจของต้วนเฉินเซวียนดังออกมาจากด้านในห้อง “อวิ้นเอ๋อร์ ในวังคงเกิดบางอย่างขึ้นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวเข้าวังก่อน”
“ได้” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วพยักหน้า “เดินทางระวังด้วย” ตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ดังนั้นการให้เขาเข้าวังไปตอนนี้…เกรงว่าลี่หยวนตี้คงจะ…
ไม่มีอะไรหรอกกระมัง ซูเหลียนอวิ้นพยายามสงบอารมณ์ลงด้วยตัวเอง ลี่หยวนตี้เป็นโอรสสวรรค์ บุญบารมีของโอรสสวรรค์ย่อมมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นคงจะ…ทุกอย่างคงจะราบรื่นดีกระมัง
ณ วังหลวง
“เสด็จอา!” เนื่องด้วยต้วนเฉินเซวียนขี่ม้ามาดังนั้นร่างกายของเขาจึงเต็มไปด้วยกลิ่นฝุ่น ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีก “เสด็จอาไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“เซวียนเอ๋อร์” เกาอู่เตี๋ยที่เคยมีทีท่าสงบนิ่งเยือกเย็นมาตลอด ตอนนี้กลับร้องไห้ไม่เป็นท่า นางเอ่ยว่า “เจ้าไปดูเองเถิด เขา…เขาอยากพบเจ้า” แม้ว่าเกาอู่เตี๋ยจะเกลียดลี่หยวนตี้มากขนาดไหน ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความรักจึงทำให้กลายเป็นความเกลียดเช่นนั้น
หากไม่รัก ความเกลียดจะมาจากที่ใด ดังนั้นการที่ลี่หยวนตี้มีสภาพเช่นนั้น เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่านางไม่อาจทนดูได้อีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าหากนางหนี หลบ ไม่มองเขา ไม่คิดถึงเขา อาการของลี่หยวนตี้…คงจะดีขึ้นมาได้?
“เสด็จ…อา” ต้วนเฉินเซวียนย่องเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงของลี่หยวนตี้แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
เพราะสภาพของผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงในตอนนี้นั้น ทำให้ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าหากเขาเดินแรงกว่านี้หรือพูดเสียงดังกว่านี้ อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายได้ ทุกคนที่เห็นสภาพของลี่หยวนตี้ในตอนนี้…ต่างรู้สึกว่าเขาบอบบางเช่นนั้น
“ใช่ ใช่เซวียนเอ๋อร์หรือไม่…” ในตอนเช้าที่ซูเหลียนออกจากวังหลวงมา สภาพของเขายังดีๆ อยู่ ทว่าตอนนี้กลับผอมซีดดูไม่ได้ ดวงตาทั้งสองของเขาลึกโบ๋ น้ำเสียงที่ใช้พูดของเขาก็แหบแห้งราวกับว่าระยะเวลาเพียงชั่วยามเดียวทำให้เขาแก่ลงไปสิบอย่างไรอย่างนั้น
“พะย่ะค่ะ กระหม่อมเอง” ต้วนเฉินเซวียนคุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างของเขาจับมือของลี่หยวนตี้ข้างนั้นเอาไว้ “เสด็จอา ข้าเอง”
ราวกับลี่หยวนตี้ได้ยินเรื่องราวน่าขัน เขาหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กน้อย ข้าใกล้จะตายเต็มทีแล้ว ทำไมเจ้า ทำไมเจ้ายังเรียกข้าว่าอาอีกเล่า เจ้าจะเรียกข้าว่า เสด็จพ่อไม่ได้หรือไง…”
ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลี่หยวนตี้ในตอนนี้แค่เขาหายใจยังต้องใช้พลังงานมากมายถึงจะทำได้ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอ่ยประโยคยาวๆ เช่นนี้
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนไร้วาจาราวกับว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เพราะในตอนนี้เขาคิดว่ายังไม่ควรจะตอบรับคำขอร้องใดๆ ของลี่หยวนตี้จะดีที่สุด!
เพราะหากรับปากเขา ลี่หยวนตี้ก็คงจะรู้สึกเหมือนตัวเองหมดพันธะและสมตามความปรารถนาของเขา ดังนั้นตัวเขาคงจะ… ดังนั้นเขาจึงลังเลที่จะเรียกเขาว่า ‘เสด็จพ่อ’
“ช่างเถิด ไม่เรียกก็ไม่เรียก” บนใบหน้าของลี่หยวนตี้ปรากฏรอยยิ้มที่ดูไม่ได้ออกมา เพราะพยายามที่จะลุกขึ้นเพื่อพูดคุยกับต้วนเฉินเซวียน “ข้าเกรงว่าตัวเองใกล้จะตายเต็มทีแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะตาย เรื่องราวที่ข้าจำเป็นต้องส่งต่อ ข้าก็จำเป็นต้องส่งต่อแล้ว”
“เสด็จอา อายุขัยของท่านยังอีกยาวไกล” ต้วนเฉินเซวียนรีบร้อนประคองลี่หยวนตี้ให้นอนลง “ท่านแค่ประชวรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อย่าเพิ่งทรงพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนั้น ท่านยังคงต้องใช้ชีวิตอีกยาวนาน”
“ไม่ไหวแล้ว” เมื่อต้วนเฉินเซวียนประคองให้ลี่หยวนตี้นอนลงแล้วก็ไม่พยายามที่จะลุกขึ้นมานั่งอีก เขาเพียงนอนแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย “ร่างกายของข้าเป็นอย่างไร ข้าย่อมรู้ดีที่สุด เรื่องสุดท้ายที่ข้าต้องจัดการก็คือเซวียนเอ๋อร์ เจ้าต้องรับปากข้าว่าเจ้าจะเป็นผู้รับสืบทอดเก้าอีกตัวนี้และใต้หล้าแห่งนี้ต่อไป!”