ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 263 รักษาชีวิต
เมื่อลี่หยวนตี้เอ่ยจบก็หายใจหอบอย่างรุนแรงราวกับกำลังพยายามที่จะสงบอารมณ์ของตัวเอง “ใครเป็นคนวางยาพิษ ข้าก็พอรู้ ดังนั้น…เซวียนเอ๋อร์ เจ้าต้องรับปากข้าว่าเจ้า…จะต้อง…”
“เสด็จอา!” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยแทรกคำพูดที่ลี่หยวนตี้กำลังจะพูดต่อ มือของเขาก็บีบแน่นขึ้น “เสด็จอา อย่าพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้ ท่าน ท่าน…จะต้องหาย”
“คำพูดของศิษย์น้องนั้นไม่ผิด ฝ่าบาทจะต้องหายได้” ในห้องที่เงียบสงัดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ศิษย์พี่?” ต้วนเฉินเซวียนรีบลุกขึ้น “ท่านมาได้อย่างไร” เขาลืมหรงซู่ไปได้อย่างไร! เมื่อก่อนตาแก่นี่โปรดหรงซู่เป็นที่สุด ดังนั้นจึงมอบทรัพย์สินและของเล่นดีๆ ให้เขามากมาย
ดังนั้นหากหรงซู่ยื่นมือมาช่วย ชีวิตของลี่หยวนตี้ อย่างน้อยๆ จะต้องรักษาเอาไว้ได้แน่!
“อวิ้นเอ๋อร์ส่งคนมาตามข้า” หรงซู่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ จากนั้นจึงเหลือบตาลงมองลี่หยวนตี้ที่นอนอยู่บนเตียง “สวัสดีฝ่าบาท กระหม่อมมาเพื่อดูอาการให้ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
“ซู่เอ๋อร์?” ลี่หยวนตี้ลืมตาขึ้นอย่างตื่นเต้น “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตอนใกล้จะตายนั้นก็มีข้อดีเช่นกัน คนที่อยากจะพบล้วนได้พบทั้งหมด”
หรงซู่จัดแจงเสื้อผ้าแล้วนั่งลงบนเตียง “ฝ่าบาท บารมีของท่านคุ้มครองใต้หล้า แล้วท่านจะสวรรคตง่ายๆ ได้อย่างไร อย่าคิดมากเลยพะย่ะค่ะ” จากนั้นเขาจึงยื่นมือข้างหนึ่งเจ้าไปในอกแล้วหยิบยาออกมาเม็ดหนึ่ง “ฝ่าบาททรงเสวยโอสถนี่ก่อนเถิด ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อน จากนั้นกระหม่อมถึงจะถอนพิษให้กับท่าน”
ลี่หยวนตี้ไม่ได้ถามอะไรมากนัก เขาเพียงอ้าปากแล้วรับยาจากหรงซู่เข้าปากพลางเคี้ยวสองสามทีก่อนจะกลืนลงท้องไป
ยาของหรงซู่นั้นเป็นยาเทวดาอย่างแท้จริง ไม่นานนัก สีหน้าของลี่หยวนตี้กลับดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก ไม่ซีดเซียวไร้สีของโลหิตเหมือนอย่างในตอนแรก การหายใจของเขาก็ไม่เหนื่อยหอบเหมือนอย่างในตอนแรกอีก
“ซู๋เอ๋อร์” ผ่านไปครู่ใหญ่ในขณะที่หรงซู่กำลังตรวจชีพจรของลี่หยวนตี้แล้ววินิจฉัยอยู่นั้น ลี่หยวนตี้ก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “ซู่เอ๋อร์ ข้าไม่ได้พบเจ้ามานานแค่ไหนแล้ว”
ลี่หยวนตี้ในตอนนี้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่สูงส่งเกินเอื้อมอีกต่อไปแต่กลับเป็นคนแก่ที่กำลังป่วยคนหนึ่งที่พูดคุยอยู่กับหรงซู่
มือที่กำลังจดบันทึกอยู่ของหรงซู่หยุดชะงักไปแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “คนขายยาอย่างข้าจำไม่ได้ค่อยได้แล้วพะย่ะค่ะ คงจะสิบปีได้แล้วกระมัง”
“สิบปี” ลี่หยวนตี้มองผ้าที่คลุมเตียงอยู่ด้านบน “สิบปีแล้ว เจ้าโตถึงเพียงนี้แล้ว” เรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจแตะต้องได้ในใจของหรงซู่มาโดยตลอด เป็นโรคทางใจที่ไม่อาจรักษาหาย เรื่องนี้ลี่หยวนตี้ก็รู้ดีเช่นกัน
ในใจของลี่หยวนตี้นั้น เขามีความรู้สึกละอายใจต่อหรงซู่มาโดยตลอด
ในตอนนั้นหากเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากอันผิงอ๋องอย่างเต็มกำลังเช่นนั้น เกรงว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรเก้าอี้ตัวนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสได้นั่งอย่างแน่นอน แต่อันผิงอ๋องได้จากไปแล้ว คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน ไม่ว่าเขาจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ฝังขุนนางตามไปรับใช้ให้เขากี่คนก็เปลี่ยนความจริงในข้อนี้ไม่ได้
สิ่งเดียวที่เขาพอจะชดใช้ให้ได้นั่นก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของอันผิงอ๋อง นั่นก็คือหรงซู่ แต่ตั้งแต่ตอนที่หรงซู่ลงจากเขามาในตอนนั้น เขาก็ได้แสดงปณิธานกับลี่หยวนตี้อย่างชัดเจนแล้วว่าชีวิตนี้เขาจะไม่กลับมาอยู่ที่วังหลวงแห่งนี้อีก
ความโสมม ทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียนได้
ดังนั้นเมื่อลี่หยวนตี้มีโอกาสได้พบหรงซู่ในตอนนี้ เขาจึงรู้สึกดีใจออกมาจากใจจริงของเขา เด็กคนนี้โตแล้ว รูปร่างของเขา…ยิ่งคล้ายกับคนผู้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ซู่เอ๋อร์ คราวนี้เจ้ากลับมาแล้วก็อย่าจากไปไหนอีกเลย” ลี่หยวนตี้เอ่ย “การสั่นคลอนของข้าในครั้งนี้ ในเมืองหลวงจะต้องวุ่นวายมากอย่างแน่นอน หากมีเซวียนเอ๋อร์ดูแลเพียงคนเดียว ข้าคงวางใจไม่ได้ ดังนั้นแล้วเพื่อเห็นแก่หน้าของเซวียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยกันเถิด”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้วศิษย์พี่ ในเมื่อท่านมาถึงที่เมืองหลวงแห่งนี้แล้วก็อย่ารีบร้อนกลับไปเลย ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ก็กำลังตั้งครรภ์ คงต้องรบกวนให้ท่านไปช่วยตรวจนางหน่อย ไหนจะมีพวกเราอีกที่คิดถึงท่านมาก”
หรงซู่เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองต้วนเฉินเซวียนคราหนึ่ง เขาไม่เอ่ยอะไร เพราะเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะใจอ่อน เขาเพิ่งจะเข้าวังมาได้เพียงครู่เดียวเอง ความวุ่นวายก็ทยอยเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย!
“ข้าคงไม่กลับเร็วขนาดนั้น” หรงซู่เอ่ยเรียบๆ “อย่างน้อยๆ ก็ต้องรักษาฝ่าบาทให้หายก่อน” เรื่องหลังจากรักษาหายแล้ว…ค่อยว่ากันทีหลัง!
“ตกลง!” ต้วนเฉินเซวียนรีบรับปาก เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าการรับปากว่าจะอยู่จนรักษาลี่หยวนตี้ให้หายนั้น สำหรับหรงซู่แล้วก็ถือว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้มากแล้ว ดังนั้นเรื่องราวนอกเหนือจากนี้คงต้องพักเอาไว้ก่อนชั่วคราว ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป หากรีบร้อนบีบบังคับจนเขาหนีหายไปอีก นั่นจะยิ่งวุ่นวายไปใหญ่
“พิษที่อยู่ในพระวรกายของฝ่าบาท กระหม่อมเพียงขจัดออกไปส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลืออยู่…เกรงว่าต้องค่อยๆ รักษาต่อไป” หรงซู่ขมวดคิ้วแน่น เมื่อตรวจชีพจรของลี่หยวนตี้เสร็จแล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “แน่นอนว่าต่อให้ข้าขจัดพิษออกไปส่วนหนึ่งก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น หากจะมียาขจัดพิษหรือยาพิษตัวนี้ให้ข้าได้ลองตรวจสอบดู นั่นจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
“รักษาชีวิตไว้ให้ได้ก่อน” เรื่องราวอื่นๆ นั้น ตอนนี้จับตัวเจ้าหมูนั่นเอาไว้ได้แล้ว การลงทัณฑ์เพื่อให้เขายอมคายของพวกนั้นออกมาก็คงทำได้ไม่ยาก
“เรื่องนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล” หรงซู่เป่าหมึกที่เขียนเอาไว้บนกระดาษเซวียนจื่อจนแห้ง “ข้าขอไปต้มยาก่อน แต่ทุกอย่างต้องลงมือให้เร็ว ยาของข้าทำได้เพียงกดพิษไม่ให้แสดงอาการขั้นต่อไปออกมาเท่านั้น ส่วนยาขจัดพิษนั้น…ข้ายังไม่มี”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า
“เซวียนเอ๋อร์” เมื่อหรงซู่ออกไปแล้ว ลี่หยวนตี้ก็เตรียมจะเอ่ยเรื่องที่เขาพูดค้างไว้เมื่อครู่นี้อีก “ข้าได้เขียนพระราชโองการไว้นานแล้ว ตอนนี้ซ่อนอยู่ในช่องหลังตู้หนังสือในพระราชวังหย่างซิน เซวียนเอ๋อร์ ข้าอยาก…”
“กระหม่อมเข้าใจ” ต้วนเฉินเซวียนหันกลับมา “แต่กระหม่อมขอพิจารณาดูก่อน”
“ก็ดี” คราวนี้ลี่หยวนตี้ไม่ได้รีบร้อนบังคับให้ต้วนเฉินเซวียนรับปากอีกต่อไปแล้ว นั่นน่าจะเป็นเพราะเขาก็รอให้ร่างกายของเขาดีขึ้นเช่นกัน ในเมื่อเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับต้วนเฉินเซวียนเช่นนั้นอีก”
ณ จวนจิ้งอันโหว
“พระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง” ในคืนนั้น ซูเหลียนอวิ้นเอาแต่คิดฟุ้งซ่านมากมายอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนกลับมา นางก็พบทางออกที่สามารถคลายความสงสัยให้นางได้แล้ว นางจึงโพล่งถามออกมาทันที
“อวิ้นเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้ามาก ข้าลืมศิษย์พี่ของตัวเองไปสนิทเลย หากไม่ได้เจ้าแจ้งข่าวให้ศิษย์พี่ทราบ คงจะ…สรุปแล้วตอนนี้ฝ่าบาทไม่ตายอย่างแน่นอน” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยตอบพลางอมยิ้ม
ระหว่างทางที่กลับมาคราวนี้ถือเป็นครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากที่สุดแล้ว คำพูดของลี่หยวนตี้ดังสะท้อนอยู่ในหูของเขาซ้ำไปซ้ำมา สายตาที่ดื้อดึงไม่ยอมแพ้นั้น…ทำให้เขาไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจลบออกไปได้ง่ายๆ