ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 31 แต่งหน้าแต่งตา
ซูมั่วเยี่ยพยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่ คนรอบตัวเขาไม่จำเป็นต้องกำชับคำให้มากความ เพราะตัวเขานั้นมีมาตรฐานในใจอยู่แล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเห็นบรรยากาศบนโต๊ะอึมครึมเคร่งเครียด แต่ตนกลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใดดี ช่างเถอะๆ ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันสักหน่อย
โดยภาพรวม…
เมื่อมื้ออาหารใกล้สิ้นสุด หวังฉือหวนเองก็เริ่มแสดงอาการอ่อนล้า หลังจากนั้นนางเพียงคุยกับซูเหลียนอวิ้นต่ออีกไม่กี่คำ ผิ่นจู๋หญิงรับใช้ส่วนตัวของนางก็มาเชิญนางให้กลับไปพักผ่อนที่เตียงในห้อง ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็อายุมากแล้ว จึงไม่ควรฝืนร่างกายเป็นธรรมดา พักผ่อนเร็วหน่อยย่อมดีต่อสุขภาพมากกว่า
…
ณ สวนสาลี่
ซูเหลียนอวิ้นสั่งให้หญิงรับใช้ออกไปจากห้องของนางได้สักพักหนึ่งแล้ว รวมทั้งหลีมู่ด้วย ในห้องจึงเหลือนางเพียงคนเดียวที่ยืนเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเหม่อลอย ดวงตาทั้งสองข้างของนางจ้องมองไปยังภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
ตอนนั้นเอง…นางก็ถอนใจ
นางถอนใจพลางคิดว่าช่วงนี้ตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอใช่หรือไม่ ถึงรู้สึกว่าใต้ดวงตาของตนปรากฏรอยคล้ำขึ้น หากไม่สังเกตอาจจะมองไม่เห็น แต่เมื่อส่องกระจกดูกลับรู้สึกขัดหูขัดตา
ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เพื่อยุติความคิดวุ่นวายของตน อาจเป็นเพราะความเคร่งเครียดในช่วงนี้จึงเกิดรอยคล้ำใต้ดวงตาขึ้น
ตอนนี้ดึกมากแล้ว นางรู้สึกว่าตนควรรีบเข้านอนเร็วสักหน่อย เพราะซูมั่วเยี่ยบอกนางเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนหนังสือเป็นเพื่อน นางจึงเกิดความกังวลขึ้นมาเพราะเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น…ดังนั้นนางจึงควรรีบเข้านอนเร็วหน่อย
…
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” หูของนางได้ยินเสียงตะโกนของหลีมู่ดังขึ้น
ซูเหลียนอวิ้นลืมตาขึ้นช้าๆ สถานที่ตรงหน้านี้…ดูแล้วรู้สึกคุ้นตานัก
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาทั้งสองข้างยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่น “หลีมู่ คุณหนูของเจ้ายังมีชีวิตอยู่” ดังนั้นจึงไม่ต้อง…ตะโกนคร่ำครวญและตะเบ็งสุดเสียงเช่นนั้นก็ได้ อย่างไรนางก็ได้ยินอยู่แล้ว
“คุณหนู!” หลีมู่เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งโมโห “คุณหนูมัวแต่พูดอู้อี้อะไรอยู่ ไม่กลัวมีความผิดอีกหรือ! บ่าวปลุกคุณหนูมาสามรอบแล้วนะเจ้าคะ สองครั้งแรกคุณหนูบอกว่าจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่นี่มันตั้งยามใดแล้ว หากคุณหนูยังขี้เซาเช่นนี้ต้องเข้าเรียนสายแน่ อีกอย่างตอนนี้คุณชายใหญ่ก็มาถึงแล้วนะเจ้าคะ กำลังรอคุณหนูอยู่ด้านนอก”
ทว่าเมื่อหลีมู่เห็นท่าทางงัวเงียหมดสภาพของซูเหลียนอวิ้น นางก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อดี แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน นางคิดว่าเมื่อคืนซูเหลียนอวิ้นคงรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย! เพราะได้เห็นภาพเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
นางถอนหายใจ คุณหนูรู้จักกลัวบ้างก็ดี ครั้งหน้าคงไม่กล้าทำอะไรเลือดร้อนเช่นนั้นอีกอย่างแน่นอน บทเรียนครั้งนี้ถือว่าได้ผลดีทีเดียว พลางลอบวางแผนในใจว่าคืนนี้จะย้ายที่นอนของตนมานอนตรงปลายเท้าของซูเหลียนอวิ้น หากซูเหลียนอวิ้นเกิดฝันร้ายขึ้นกลางดึกอย่างน้อยนางจะได้รู้และช่วยดูแลได้อย่างทันท่วงที
ซูเหลียนอวิ้นดึงผ้าห่มออกจากตัว ตอนนั้นเองลมหนาวยามรุ่งอรุณก็โชยเข้ามาสัมผัสกับใบหน้าของนาง พาให้ร่างบางไหวระริก แต่ก็ถือว่าโชคดีเพราะลมนี้ทำให้นางตื่นขึ้นแล้วจริงๆ
“หลีมู่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านพี่มารอข้าอยู่ด้านนอกแล้วหรือ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงถามขึ้น
“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้ว คุณหนูเร่งมือหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หลีมู่แอบบ่นอยู่ในใจ คุณชายใหญ่มาถึงตั้งแต่ตอนที่เรียกคุณหนูรอบสองแล้ว ถือว่ายังโชคดีที่คุณชายใหญ่เป็นคนใจเย็น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเล่า รอนานเช่นนี้เกรงว่าคงผลักประตูเข้ามาปลุกจนตื่นไปตั้งนานแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ใส่ใจนัก นางรู้ดีว่าพี่ชายของนางเป็นคนตื่นเช้า อีกอย่างวันนี้ตัวนางเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะนอนขี้เซา แต่เนื่องจากว่าเมื่อวานช่วงบ่ายนางงีบหลับไปพักใหญ่ พอตกดึกจึงพลิกตัวไปมา ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็ไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่ครึ่งค่อนคืนถึงได้รู้สึกง่วงแล้วฝืนใจให้หลับไป ดังนั้นนางในตอนนี้จึงยังรู้สึกง่วงงุนอยู่
“คุณหนู บ่าวรวบผมให้นะเจ้าคะ” หลีมู่เอ่ยขึ้นพลางหยิบหวีงาช้างออกมาจากกล่องเครื่องสำอาง แล้วปรนนิบัติอย่างใส่ใจ
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยที่ยังคงง่วงงุนอยู่ ครั้นพอเงยหน้ามองผู้ที่อยู่ในกระจกตรงหน้า นางพลันมีท่าทีราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่
“หลี หลีมู่!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างอึกอัก “คนในกระจกผู้นี้คือข้ามิผิดแน่หรือ?” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือชี้ไปยังหญิงสาวที่อยู่ในกระจกผู้นั้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากจะเอื้อนเอ่ย
หลีมู่ได้ยินเช่นนี้จึงมีสีหน้าสับสนระคนตกใจ “คุณหนู! คุณหนู…ฝันร้ายหรือเจ้าคะ”
หรือว่าละเมอ เหตุใดแม้แต่หน้าตาตัวเองยังไม่รู้จัก
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเอียงศีรษะ ดรุณีน้อยในกระจกตรงหน้าก็แสดงท่าทางเช่นเดียวกัน นั่นคือใบหน้าที่แสดงถึงความไม่มั่นใจและรับไม่ได้
ซูเหลียนอวิ้นยกมือกุมหน้าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นจึงส่งเสียงสะอื้นคร่ำครวญ “หลีมู่ เจ้าจะไม่เตือนข้าสักหน่อยหรือ…หากข้ามิได้ส่องกระจก เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้ข้าออกไปในสภาพเช่นนี้หรอกนะ?”
เมื่อคืนวานยังมีเพียงแค่รอยคล้ำใต้ตาปรากฏจางๆ หากในวันนี้กลับกลายเป็นสภาพที่หนักกว่าเก่า เป็นเพราะไม่ได้หาทางแก้ไขเสียแต่แรก ถึงตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนควรจะย้ายไปอยู่ที่มณฑลเสฉวน เพราะจากสภาพของนางในยามนี้คล้ายกับญาติของหมีแพนด้าเต็มทีแล้ว
“คุณหนู บ่าว บ่าวคิดว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลยเจ้าค่ะ” ในมุมมองของหลีมู่ ร่องรอยเหล่านั้นไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะวัยอย่างซูเหลียนอวิ้น เป็นวัยที่หญิงสาวมักจะมีริ้วรอยเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากยังเป็นวัยที่ชอบเที่ยวเล่นอยู่ นางไม่คิดมาก่อนว่าจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวร้ายแรงถึงเพียงนี้
หากซูเหลียนอวิ้นรู้ว่ารอยคล้ำใต้ตาที่อัปลักษณ์เช่นนี้ของตนเป็นเรื่องปกติในสายตาของหลีมู่แล้ว คงต้องจับไหล่หลีมู่เขย่าแรงๆ จากนั้นต้องเตือนสักคำสองคำว่า รูปลักษณ์ของสตรียิ่งใหญ่ประดุจผืนฟ้า! อีกทั้งตัวนางเองคือซูเหลียนอวิ้นด้วย
นิสัยรักสวยรักงามของซูเหลียนอวิ้น อันที่จริงเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนแล้ว เมื่อชาติที่แล้วนางทุ่มสุดตัวเพื่อให้ต้วนเฉินเซวียนหันมาสนใจ แน่นอนว่ารวมถึงการดูแลรักษารูปร่างหน้าตาก็ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเช่นกัน
อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นก็ทำเพื่อตนเอง เพื่อให้ได้เห็นภาพที่ชวนให้เบิกบานใจได้บ้างในบานกระจก ดังนั้นเมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของตนเองแล้วจึงรู้สึกยากที่จะรับได้
ทว่าพลังในตัวของซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองผู้ใด เมื่อครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนตอบปฏิเสธและทำให้ตนต้องขายหน้าอยู่หลายครั้ง นางยังไม่รู้สึกรู้สา ดังนั้นอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในครานี้ จึงสร้างความรำคาญใจให้นางเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานนางก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก็หยิบสิ่งของออกมาจากกล่องเครื่องสำอางอย่างใจเย็น แล้วรีบจัดแจงแต่งหน้าให้ตนเองอย่างรวดเร็ว ฝีมือคล่องแคล่วและชำนาญของนางทำเอาหลีมู่ตกตะลึงตาค้าง มิน่าคุณหนูจึงไม่เคยให้นางแต่งตัวให้มาก่อน จะมีก็แค่ให้นางเกล้าผมให้เท่านั้น ที่แท้ฝีมือในการแต่งหน้าของคุณหนูเฉียบขาดขนาดนี้! เหล่าช่างแต่งหน้าพวกนั้นคงต้องอายคุณหนูแล้วกระมัง
เวลาผ่านไปไม่เกินสิบห้านาที ซูเหลียนอวิ้นก็แต่งหน้าตัวเองเสร็จสรรพ ในขณะที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่นั้นพลันสำนึกขึ้นได้ว่าสมควรแก้ไขสภาพใบหน้าที่ทรุดโทรมนี้เสียตั้งแต่แรกแล้ว