ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 34 มอบรางวัล
“แค่ก…” หลังจากมีเสียงไอดังขึ้น อาจารย์ถงก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินเข้ามา เขานำหนังสือวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นกวาดตามองไปยังนักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นพี่น้องตระกูลหยาง พวกเขาได้วานให้ใครมาลาหรือไม่”
ทุกคนสบสายตากันไปมา
ให้พวกเขาช่วยลาแทนอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นเคยรู้เรื่องมาก่อนเลย จากนั้นทุกคนจึงพากันก้มหน้าลงทีละคน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีก
อาจารย์ถงกวาดตามองอีกรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตอบรับก็เริ่มเข้าใจ มีคนกล้าขาดเรียนในวิชาของเขาโดยไม่ได้ลาล่วงหน้า กล้าดีเสียจริง พอมาทบทวนดูแล้ว นี่ต้องเป็นเพราะช่วงนี้เขาใจดีกับเด็กพวกนี้มากเกินไป จนทำให้พวกเขาละเลยสิ่งที่สมควรทำไป
ในใจของอาจารย์ถงปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น ได้ใจกันไปก่อนเถิด จะรอดู…เมื่อถึงวันนั้นจะยังยิ้มออกกันอยู่หรือไม่
เมื่อวานฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า เนื่องจากทรงอยากปรึกษาเกี่ยวกับงานฉลองวสันตฤดูที่กำลังจะจัดขึ้นในเร็ววันนี้ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นงานฉลอง แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นงานสำหรับสอบประเมินผลขนาดใหญ่ ในวันนั้นบรรดาบุรุษและสตรีต่างต้องเลือกหัวข้อมาประลองกันสักยกสองยก เมื่อประลองเสร็จเรียบร้อยจะสามารถจัดระดับสูงต่ำของทุกคนออกมา ตลอดทั้งปีที่เรียนมาเป็นอย่างไร วันนั้นถึงเวลาต้องวัดผลการเรียนกันสักตั้ง
อาจารย์ถงกวาดตามองด้านล่างอีกรอบ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการสอบข้อเขียนและงานวรรณคดีมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ผ่านมามีผู้ที่ได้คะแนนไม่เลวอยู่เสมอ
ทว่าในปีนี้…เขาถอนใจคราหนึ่ง จากนั้นจึงลอบยิ้มหยันในใจ คงถึงเวลาที่เขาควรใช้ชีวิตบั้นปลายของตนเองสักที
เด็กทุกคนที่อยู่ด้านล่างนี้แม้เบื้องหน้าจะมีทีท่าตั้งใจฟัง แต่ในความเป็นจริงแล้วเรียนไปได้สักเท่าไหร่ เข้าใจมากน้อยเพียงใด จากประสบการณ์การสอนที่ผ่านมาหลายปีนี้เขาจะดูไม่ออกเชียวหรือ? การที่เด็กๆ แอบวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเขา เขาย่อมรับรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี
เฒ่าหัวโบราณ ตาแก่หัวรั้นที่ไม่รับฟังเหตุผลคนหนึ่ง
แต่ครึ่งชีวิตของเขาก็ผ่านมาเช่นนี้ จะให้เปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะอย่างไรอาจารย์ถงก็คิดไม่ออก ขณะนั้นเรื่องที่สองพี่น้องตระกูลหยางโดดเรียนก็ผ่านเข้ามาในความคิดอีกครา ก่อนที่จะตามติดมาด้วยความคิดตัดพ้อตนเอง เพียงชั่วพริบตาความรู้สึกนั้นก็เริ่มลุกลามกัดกินเนื้อที่ในใจของอาจารย์ถง
“แค่กๆๆ” ขณะนั้นเอง เสียงไอดังขึ้นระลอกหนึ่ง ทำให้ทุกคนในห้องพลันเงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์ถงที่อยู่บนแท่น จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าทุกคน วันนี้ดูท่าแล้ว ตัวข้าอาการไม่สู้ดีนัก ขอให้กลับไปที่จวนของพวกเจ้าก่อนเถิด หากวันพรุ่งอาการป่วยของข้าดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าค่อยมาเรียนก็ไม่สาย” กล่าวจบ ดวงตาคู่นี้ของอาจารย์ถงก็มีเงามืดเคลื่อนผ่าน
นักเรียนกลุ่มนี้แอบดูถูกเยาะเย้ยเขาไว้อย่างไรบ้างเขาล้วนรับรู้ทั้งสิ้น เดิมทีเขาคิดจะแจ้งข่าวงานฉลองวสันตฤดูให้รู้กันล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน หรือไม่ก็มาหาเขาและรีบเกาะขาพระอ้อนวอนเมื่อไฟลนก้น แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็อย่าโทษเขาเลย
ความรู้ในห้องเรียนที่เขาสอนทุกครั้ง หากตั้งใจฟังจริงๆ ย่อมรับมือกับการทดสอบในงานฉลองวสันตฤดูได้โดยไร้ข้อกังขา แต่หากที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจ ไม่เคยฟังเขาสอน พอถึงเวลานั้นจะมาโทษเขาไม่ได้
ถึงอย่างไรเขาก็แก่แล้ว ขอใช้โอกาสครั้งสุดท้ายที่ยังยืนอยู่บนแท่นนี้ให้เขาได้ทำตามใจตัวเองอีกสักครั้งเถิด
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ไม่มีผู้ใดรีรออะไรอีก ทุกคนเร่งรีบเก็บข้าวของทั้งหมดพร้อมกระโจนออกจากห้องเรียน ราวกับกลัวว่าขืนชักช้าอาจารย์ถงอาจจะกลับคำได้
แม้จะหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ถงถึงได้มีท่าทีต่างไปจากเดิม พวกเขาก็ยังคงคิดแต่เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องเดียวคือพวกเขาสามารถกลับจวนได้แล้ว
ซูเหลียนอวิ้นกลับแตกต่างจากผู้อื่นที่กำลังรีบเร่งเก็บของ ในทางตรงข้ามนางมีท่าทีเชื่องช้า
ในความคิดของนาง…อาจารย์ถงเป็นเช่นนี้ ถือว่าแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย มองจากท่าทางของอาจารย์ถงแล้วไม่คล้ายคนกำลังป่วยหนักสักนิด จะมีก็เพียงอาการป่วยเล็กน้อยที่ดูไม่ได้ร้ายแรงเท่านั้น
เรื่องน่ารู้ที่เคยเกิดขึ้นคือ สมัยที่อาจารย์ถงยังหนุ่มแน่น เขาเป็นคนประเภทที่วันก่อนเพิ่งตกจากหลังม้า แต่วันต่อมายังคงมาสอนได้ตามปกติ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ชอบฝืนตัวเองเพียงเพื่อให้ทุกสิ่งสำเร็จสมหวังดังความตั้งใจ หากวันนี้กลับ…?
“ซูเหลียนอวิ้น เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีกเล่า” อาจารย์ถงเก็บข้าวของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาภาพที่เห็นคือ ซูเหลียนอวิ้นยังคงนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ในห้องนี้เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว ยังมีธุระอันใดอีกหรือ”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “อาจารย์เจ้าคะ ศิษย์กำลังคิดอยู่ว่า ร่างกายของท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านยกเลิกคาบเรียนเพราะสุขภาพไม่ดี ไม่ว่าจะอย่างไรล้วนต้องรักษาสุขภาพไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ท่านอย่าฝืนตัวเองดีที่สุด”
ซูเหลียนอวิ้นเองยอมรับว่าคำพูดนี้ถือเป็นการประจบประแจงอยู่บ้าง แต่พฤติกรรมวันนี้ของอาจารย์ถงถือว่าผิดปกติอย่างยิ่ง สัญชาตญาณบางอย่างที่นางไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร บอกนางว่าอาจารย์ถงมีบางเรื่องที่ปิดบังพวกเขาอยู่ อีกประการหนึ่งช่วงนี้นางใกล้ชิดกับหวังฉือหวน ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแก่ตรงหน้าผู้นี้ คำพูดหวานๆ เพื่อแสดงการเอาใจใส่จึงหลุดออกมาจากปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อาจารย์ถงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ตลอดมาเขาไม่ค่อยได้ใส่ใจ แถมยังคิดว่านางเป็นนักเรียนที่โง่เขลา สุดท้ายนางกลับกลายเป็นนางผู้ที่ใส่ใจตน ในใจของเขาจึงพลันบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่อาจารย์ถงรู้สึกว่าตนมีตาหามีแววไม่ นักเรียนที่เขาเคยมองว่าเปี่ยมด้วยพรสวรรค์และมีไหวพริบเป็นเลิศ ถึงยามนี้หาได้มีผู้ใดคอยอยู่ให้กำลังใจเขาไม่ ไม่…แม้จะเอ่ยวาจาให้เขารักษาสุขภาพ หากใคร่ครวญให้ดีเขาสั่งสอนให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ แต่กลับลืมที่จะปลูกฝังเรื่องคุณธรรมซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดได้อย่างไร
อาจารย์ถงเดินลงมาจากแท่นแล้วมองไปที่ซูเหลียนอวิ้น สายตานั้นไร้ซึ่งแววคลางแคลงใจ สักพักจึงได้ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เด็กดี เมื่อก่อนข้าไม่เคยสนใจเรื่องราวใดๆ ทำให้ลืมไปว่าเรื่องเหล่านั้นสำคัญแค่ไหน ข้าจะจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ และเพื่อเป็นการขอบคุณน้ำใจที่เจ้ามีให้ อาจารย์ก็มีรางวัลที่อยากจะมอบให้เจ้า”
ซูเหลียนอวิ้น “…?”
นางพูดอะไรออกไป หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ได้ลาภลอยเช่นนี้…ไม่นับว่าโชคดีเกินไปหน่อยหรือ ต่อไปคงต้องกินน้ำตาลให้มากเสียแล้ว เป็นเด็กปากหวานเช่นนี้ก็มีข้อดีไม่น้อย เพราะไปที่ใดก็มีแต่คนเมตตา
ในอดีตอาจารย์ถงไม่เคยมอบสิ่งของใดให้แก่นางลับหลังผู้อื่นเลย ขอแค่มองหน้านางตรงๆ สักครั้งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เพราะในสายตาของเขา นางคงถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงไร้ความรู้ความสามารถ การเปลี่ยนแปลงในวันนี้ถือว่ายิ่งใหญ่มากนัก
อาจารย์ถงหันตัวกลับไปแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงแท่นบรรยาย จากนั้นจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากช่องว่างที่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ที่ใด หนังสือเล่มนั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผ้า ดูแล้วคล้ายไม่เคยตกพื้นมาก่อนเลย อาจารย์ถงแกะห่อผ้าออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นที่ถูกห่อหุ้มไว้ออกมา แล้วส่งให้ซูเหลียนอวิ้นพลางเอ่ยว่า “เด็กดี เจ้ารู้จักงานฉลองวสันตฤดูหรือไม่”
“งานฉลองวสันตฤดู?” ใจของซูเหลียนอวิ้นกระตุกวาบ ทว่าบนใบหน้ายังเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม “คืออะไรหรือเจ้าคะ มันคืองานฉลองอะไรหรือ”