ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 38 ดูตัว
แม้ว่าใต้เท้าหันจะไม่รู้ว่าเหตุใดต้วนเฉินเซวียนต้องมีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของตนและไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตัวเขาเองมากนัก จึงทำให้เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ อีกทั้งในช่วงนี้ต้วนเฉินเซวียนก็มีความเกี่ยวพันกับพระราชวงศ์ รายละเอียดต่างๆ ของพระราชวงศ์มีมากมายนับไม่ถ้วน หากยิ่งรู้เรื่องมากเท่าไหร่ นั่นยิ่งหมายความว่าระยะห่างกับสิ่งของบางอย่างก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ทว่าในทุกๆ เรื่องราวย่อมต้องมีสองด้าน บางครั้งอาจส่งผลให้เกิดอันตราย จนทำให้บางคนหวาดกลัวและคิดว่าไม่เข้าใกล้น่าจะปลอดภัยกว่า ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนก็คบหากับหันชิงอวี่ด้วยใจจริง ในเมื่อสามารถทำให้ต้วนเฉินเซวียนเป็นสหายที่ดีกับเขาได้ นั่นก็ถือว่าเป็นผลดีแล้วมิใช่หรือ ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าโทษ
กว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของใต้เท้าหันล้วนอยู่แต่ในราชสำนัก จึงทำให้ตัวตนของเขากลายเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้ลูกชายของตนก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว ดูแล้วคงไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้ลูกชายของตนคบหากับต้วนเฉินเซวียนให้มากหน่อยไม่ดีกว่าหรือ บางทีระหว่างที่ให้หันชิงอวี่คบหากับเขาจนสนิทสนม อาจจะทำให้เขาเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นก็เป็นได้
ถึงอย่างไรสัญชาตญาณของเขาก็พร่ำบอกว่าในราชสำนักจะต้องมีที่ยืนสำหรับต้วนเฉินเซวียนแน่! แม้ว่าจะยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ใต้เท้าหันก็เชื่อมั่นในการคาดคะเนและสัญชาตญาณของตน
สิ่งที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ บางด้านของใต้เท้าหันคนนี้ มักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แม่นยำเสมอ
…
เมื่อได้ยินต้วนเฉินเซวียนถามคำถามเกี่ยวกับพี่ชายใหญ่ของตน ในตอนนั้นเองหันชิงอวี่ก็ค้นพบทางออก จึงตบขาฉาดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางถอนใจออกมา
“พี่ต้วน ท่านเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ตั้งแต่เด็กข้ากับพี่ใหญ่นั้น เปรียบดั่งฟ้ากับเหว คนพิเศษอย่างเขาช่วงนี้ประสบความสำเร็จหลายอย่าง ทำให้ตาเฒ่าของพวกเราอิ่มเอมใจ ตอนนี้เกรงว่าคงลืมไปแล้วว่าจะเปิดประตูเมืองต้องผลักเข้าด้านใน”
หันชิงอวี่จัดการทุกเรื่องอย่างกล้าหาญดื้อรั้น แต่พี่ชายของเขาหันหงไท่กลับจัดการทุกเรื่องอย่างรอบคอบระมัดระวัง นิสัยที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ ทำให้เมื่อเห็นหน้ากันต่างรู้สึกไม่ถูกชะตา ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เล็กคำพูดที่หันชิงอวี่ได้ฟังมากที่สุดคือ ‘เจ้าดูพี่ชายใหญ่ของเจ้า แล้วลองย้อนมองดูตัวเจ้าเองบ้าง!’
วาจาเช่นนี้เขาฟังบ่อยเสียจนหูของเขาแทบจะดับไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ในใจของเขาจึงปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวของตนเตรียมพร้อมไว้ให้
“อ้อ ประสบความสำเร็จหลายอย่าง พี่ชายของเจ้าน่ะหรือ เขาทำด้วยตัวเองหรือไม่” เมื่อต้วนเฉินเซวียนฟังจบก็แอบเย้ยหยันในใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูแคลน หากฟังโดยละเอียดก็จะรู้ได้อย่างไม่ยากว่าน้ำเสียงของเขากำลังค่อนแคะหันหงไท่อยู่
ต้วนเฉินเซวียนไม่ชอบบุคคลผู้นี้ย่อมต้องมีสาเหตุ เพราะอย่างไรตัวเขาเองก็เป็นคนที่ทำการใดๆ ตามใจตนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมักจะมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ จกับคนที่ทำการใดอย่างระมัดระวังมากเกินเหตุ อีกอย่างคนอย่างหันหงไท่ไม่เพียงกระทำการอย่างระวังตัวเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเข้มงวดไม่ผ่อนปรนอีกต่างหาก
ในความคิดของต้วนเฉินเซวียนนั้น เขาคิดว่าแทนที่หันหงไท่จะเลียนแบบข้อเสียอื่นๆ ของใต้เท้าหัน แต่กลับเลียนแบบนิสัยชอบเถียงอย่างข้างๆ คูๆ มาอย่างหมดเปลือก แต่การเถียงอย่างไร้เหตุผลของใต้เท้าหันเขายังพอทนได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรแม้ว่าเขาจะมีข้อเสียหลายประการ แต่ก็ถือเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง
แต่หันหงไท่มีอะไรบ้างเล่า มีแค่นิสัยชอบเถียงข้างๆ คูๆ กระมัง
แน่นอนว่าการมองคนไม่สามารถมองเพียงด้านเดียวได้ นี่เป็นเพียงมุมมองของต้วนเฉินเซวียนเพียงผู้เดียว เพราะหากไปถามความคิดของผู้ใหญ่หลายคนแล้ว ก็คงจะเอ่ยปากชมหันหงไท่กันไม่หยุดว่าเขามารยาทดี จัดการเรื่องราวได้น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะไม่มีลักษณะของคนที่สามารถรับผิดชอบงานสำคัญของบ้านเมืองได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความมั่นคงก้าวหน้า แม้ว่าจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมถือว่ายอมรับได้ไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่อะไร
เมื่อหันชิงอวี่ได้ยินต้วนเฉินเซวียนตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ก็มิได้ขัดอะไร แต่กลับพูดเสริมต่ออีกว่า
“เขาน่ะหรือจะทำด้วยตัวเอง ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ตาเฒ่าที่บ้านข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจของตนทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อปูทางให้กับพี่ใหญ่ ผลลัพธ์ก็ถือว่าใช้ได้ ทั้งช่วงนี้ฝ่าบาทก็ทรงพระเกษมสำราญอีก เห็นทีตอนนี้ข้าคงต้องรีบเตรียมของขวัญให้พี่ใหญ่สักชิ้นหนึ่งแล้ว เพื่อแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนขั้น” กล่าวจบด้วยน้ำเสียงดูถูก หันชิงอวี่ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“เช่นนั้นคงต้องแสดงความยินดีกับพี่ชายเจ้าล่วงหน้าแล้ว”
หลังจากที่หันชิงอวี่พูดจบ เขาก็จิบน้ำชาต่อเพียงลำพัง แต่ในตอนนั้นเอง เขาคล้ายนึกบางเรื่องขึ้นได้ จึงเอ่ยว่า “จริงสิพี่ต้วน เมื่อครู่ที่ท่านเอ่ยถึงพี่ชายข้า ข้าเลยนึกเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
“เรื่องอะไรหรือ”
หันชิงอวี่วางถ้วยชาลง เงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี่ตาเฒ่าที่บ้านข้า กำลังจัดเตรียมให้พี่ชายของข้าไปดูตัวภรรยาแล้ว” หากงานแต่งงานของพี่ชายเสร็จสิ้น ต่อไปเกรงว่าคงจะถึงคราวของตนแล้ว พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าประโยคที่หันชิงอวี่จะพูดต่อไปจากนี้ คงจะเป็นประโยคที่เขาไม่อยากฟัง แต่อดไม่ได้จึงถามออกไปว่า “ตอนนี้การดูตัวเป็นอย่างไรบ้าง เลือกคนได้แล้วหรือยัง”
หันชิงอวี่เพียงแค่พูดไปส่งๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา จึงหันหน้ามาพูดว่า “ข้าขอคิดก่อน คล้ายว่ามีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น เพราะสายตาของพ่อข้านั้น ท่านเองก็รู้ สายตามองสูงไปถึงฟ้าเสมอ พี่ชายของข้าเองก็ถอดแบบมาเช่นเดียวกัน”
“ดูเหมือนว่ามีหลานสาวของตระกูลหลี่เช่าฟู่ คุณหนูของจวนซือถูโหว คุณหนูของตระกูลแม่ทัพซู และยังมี…” หันชิงอวี่ใช้นิ้วมือชี้ศีรษะของตัวเอง พร้อมเอียงศีรษะครุ่นคิด เพราะอย่างไรเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก และเดิมทีเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว เท่าที่นึกออกได้ในตอนนี้ก็นับว่ายากเย็นสำหรับเขาแล้ว
“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่ามีคุณหนูของตระกูลแม่ทัพซูด้วยหรือ คงไม่ได้หมายถึงลูกสาวของซูปั๋วชวนกระมัง” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยแทรกหันชิงอวี่ขึ้น
“ใช่แล้ว” หันชิงอวี่พยักหน้า “หรือท่านคิดว่าในเมืองหลวงนี้มีตระกูลแม่ทัพซูตระกูลอื่นอีก”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนี้จึงไร้คำพูดชั่วขณะ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายของเจ้าที่มีรูปร่างเล็กแบบนั้น แต่งงานกับลูกสาวแม่ทัพ ร่างกายเช่นนั้นของเขาจะรับไหวหรือ”
ตอนนี้ในหัวของต้วนเฉินเซวียนเมื่อยามเอ่ยถึงซูเหลียนอวิ้น ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขาก็คือฉากที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังโมโหจัดจนทำร้ายคน รวมถึงภาพที่นางสวมใส่ชุดสีแดงในเช้าวันนี้ด้วยท่าทางถือดีหยิ่งผยองของนาง ด้วยท่าทางเช่นนี้กลับต้องจับคู่กับชายน่าเบื่อที่มือไม่มีแรงหยิบจับ ไหล่ไม่มีแรงแบกอย่างนั้นหรือ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เมื่อต้วนเฉินเซวียนกล่าวประโยคนั้นจบก็นิ่งขรึมไปแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขาเพียงแค่หลับตาลง ทำให้ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าเขากำลังคิดเห็นสิ่งใด
“พูดต่อสิ พี่ต้วน ท่านอย่าเมินข้าเช่นนี้ หากท่านไม่สนใจข้า ข้าก็จะกลับแล้ว” หันชิงอวี่ส่งเสียงเรียก แต่ต้วนเฉินเซวียนยังคงเม้มปากไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด เขาจึงยอมแพ้
ในใจของเขากำลังคิดว่า หากมีผู้ใดสามารถเปิดปากเอาคำพูดของต้วนเฉินเซวียนออกมาได้ คนผู้นั้นต้องแปลกประหลาดนัก เพราะภารกิจนี้ถือว่ายากเกินวิสัยของตนมาก
“เจ้าไปเถิด” ต้วนเฉินเซวียนลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยเสียงแข็ง “หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น ข้าจะส่งคนไปแจ้งแก่เจ้าเอง”