ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 39 รอบคอบ
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนทำเอาหันชิงอวี่ตกตะลึง แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งความแคลงใจของเขาก็คลี่คลายลง
เนื่องจากปกติแล้วต้วนเฉินเซวียนก็มักจะเป็นเช่นนี้ เวลาที่อารมณ์แปรปรวนบางครั้งคนรอบตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ก่อนหน้ายังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ดีๆ แต่อีกสักพักก็ตีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ยังนับว่าโชคดีที่สีหน้าเขาในยามนี้เพียงแค่เคร่งขรึม ยังไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่าเรื่องเรื่องนี้คงไม่ได้ใหญ่โตอะไร?
ในใจของหันชิงอวี่เริ่มสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าช่วงนี้ต้วนเฉินเซวียนอาจจะเป็นระดู! เพราะเขาเคยได้ยินผู้อื่นว่ากันว่า เวลาที่สตรีมีระดูอารมณ์มักจะแปรปรวนผิดปกติ อาการของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ถือว่าคล้ายคลึงมากทีเดียว!
ในขณะที่หันชิงอวี่ยังคงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ต้วนเฉินเซวียนกลับพูดเพื่อส่งแขกขึ้นมาอีกว่า “ไม่มีธุระใดแล้วก็รีบกลับไปซะ! หรือยังมีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าอีก” น้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นนี้ แค่ได้ยินก็รู้ว่าคนผู้นี้กำลังปกปิดบางสิ่งเอาไว้
หันชิงอวี่จึงได้สติกลับมาแล้วส่ายหน้าราวป๋องแป๋งอีกครั้ง “น้องจะไปเดี๋ยวนี้ ไม่รบกวนพี่ต้วนแล้ว”
ล้อกันเล่นกระมัง…จะให้ต้วนเฉินเซวียนช่วยเขาอย่างนั้นหรือ เขาพอจะจินตนาการถึงภาพที่ตนเองหงายท้องขาชี้ฟ้าตอนถูกจับโยนทิ้งได้ และแน่นอนว่าเวลาที่เขาถูกจับโยนออกไป คนรับใช้ของต้วนเฉินเซวียนจะต้องจับเขาโยนให้หน้าทิ่มพื้นก่อนเป็นอย่างแรก ภาพเช่นนั้น แค่คิดก็…ขายหน้า น่าอับอายเสียจริง!
ใบหน้าอันหมดจดงดงามของเขามีไว้เพื่อดึงดูดสาวๆ โดยเฉพาะ หากบาดเจ็บไปแม้แต่นิดเดียวคงทำให้สตรีน้อยใหญ่จำนวนไม่น้อย ต้องแอบร้องไห้เสียดายและเศร้าใจอยู่ในห้อง เช่นนี้แล้วยังจะโยนเขาออกมาอีกหรือ จิตใจของต้วนเฉินเซวียนช่างโหดร้ายยิ่งนัก! ต้องเป็นเพราะอิจฉาเขาแน่ๆ
หันชิงอวี่ขยับคอเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น ขณะที่เขากำลังยกขาจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของต้วนเฉินเซวียนแว่วมาไกลๆ
“เรื่องของพี่ชายใหญ่เจ้าเรื่องนั้น…หากระยะนี้มีเรื่องใดเพิ่มเติม ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าลืมมาถ่ายทอดให้ข้ารับรู้ด้วย” ต้วนเฉินเซวียนกระแอมขึ้นเบาๆ อีกครั้ง
ทว่าต่อจากนั้นอีกประเดี๋ยวเดียวก็กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “อย่างไรเจ้าก็ถือว่าเป็นคนของข้า หากพี่ชายของเจ้ามีอำนาจขึ้นมา คงไม่ดีต่อทั้งเจ้าและข้า ดังนั้นจำไว้ว่าต้องจับตาดูอย่างละเอียด”
ขณะนั้นหันชิงอวี่ยกขาค้างไว้ครึ่งหนึ่ง เดิมทีตอนที่ได้ยินว่าต้วนเฉินเซวียนต้องการสืบข่าวพี่ชายของตนเขารู้สึกประหลาดใจจนลืมวางเท้าลง แต่เมื่อได้ยินอีกครึ่งประโยคหลังก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น
ที่แท้เป็นเรื่องนี้นี่เอง แต่พี่ต้วนเป็นคนละเอียดรอบคอบเช่นนี้เชียวหรือ เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย…เมื่อก่อนพี่ต้วนเมินเฉยต่อคนประเภทนี้มิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับตามสืบข่าวอย่างละเอียดและรอบคอบถึงเพียงนี้ พี่ต้วนคงเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! สุดท้ายก็รู้เสียทีว่าจะทำการสิ่งใดล้วนต้องรอบคอบระมัดระวัง ใช้ได้ๆ
ในขณะที่หันชิงอวี่กำลังวิจารณ์ต้วนเฉินเซวียนอยู่ในใจ ตอนนั้นเองเขาจึงเกิดความรู้สึกนับถือในตัวต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาอย่างยิ่ง เขาทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “น้องเข้าใจแล้ว” จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไปอย่างระมัดระวัง
สายตาที่ต้วนเฉินเซวียนใช้มองส่งหันชิงอวี่ออกจากห้อง คล้ายว่าตนกำลังมองเห็นคนสติไม่ดี เมื่อเห็นเขาลับตาไปแล้ว จึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วหลับตาลง ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่อีก
…
ณ จวนแม่ทัพ
ซูเหลียนอวิ้นกำลังอุ้มตำราเล่มนั้นของอาจารย์ถง แล้วถอนหายใจเป็นรอบที่ยี่สิบแปด
นี่มันยากเกินไปแล้ว! บทความที่อาจารย์ถงเลือกล้วนเป็นบทความที่ท่องจำยากไม่คล่องปาก! ใครก็ได้ช่วยนางที ต้องท่องให้หมดภายในสิบวัน…แถมยังต้องท่องได้อย่างไหลลื่น นางรู้สึกว่าในใจของนางเจ็บแปลบขึ้นเป็นระยะ
…
บนโต๊ะอาหาร เนื่องจากซูปั๋วชวนไม่ได้กลับจวนมาหลายวัน จึงกลัวว่าความสัมพันธ์ของตนกับลูกสาวที่พัฒนาขึ้นมาอย่างยากลำบากจะเปลี่ยนเป็นไม่คุ้นเคยกันขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ในยุทธภพมากมายหลายเรื่องให้ซูเหลียนอวิ้นฟังไม่หยุด รวมทั้งมุกตลกอื่นๆ ที่ทำให้นางยิ้มได้ ราวกับกลัวว่าหากพูดอะไรน้อยกว่านี้จะทำให้ลูกไม่พอใจขึ้นได้
ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นฟังก็พยายามฉีกยิ้ม หากเป็นวันปกติได้ฟังเรื่องราวน่าสนใจมากมายเช่นนี้ ตกดึกนางคงต้องนั่งทบทวนเรื่องราวที่ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง และตื่นเต้นจนไม่อาจหลับลงได้ แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ในหัวของนางมีแต่ปรัชญาภาษาโบราณอันยาวเหยียดแต่หาสาระไม่เจอ
ส่วนเรื่องราวอื่น…อภัยให้นางด้วยที่หัวของนางไม่สามารถจดจำอะไรเข้าไปได้อีกแล้ว
โชคดีที่แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีท่าทีสงบนิ่ง แต่หวังฉือหวนกลับมีท่าทีอิ่มเอมใจไร้กังวลใดๆ ซูปั๋วชวนจึงไม่เก้อเขินเท่าใดนัก
“อวิ้นเอ๋อร์ง่วงแล้วใช่หรือไม่ แม่เห็นลูกคออ่อนคอพับเสียขนาดนั้น หากเหนื่อยแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นท่าทางอันเหนื่อยล้าเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้น นางจึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง
ได้ยินคนที่เรือนของอวิ้นเอ๋อร์พูดกันว่า ช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์ของนางกระตือรือร้นในการอ่านตำราอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าความขยันจะเป็นเรื่องดี แต่หากทุ่มเทแรงกายมากเกินไปก็เกรงว่าจะทำผลลัพธ์ได้ไม่เป็นไปตามที่หวัง เหนื่อยจนสารรูปเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว อันเพ่ยอิงจึงแอบวางแผนว่า พรุ่งนี้นางจะต้องต้มซุปไก่อย่างดีให้กับลูกสาวที่รักของนาง เพื่อบำรุงร่างกายสักหน่อย!
“จริงด้วย อวิ้นเอ๋อร์ หรือเป็นเพราะพ่อพูดกับเจ้ามากเกินไป หากเจ้าเหนื่อยก็บอกพ่อตามตรงเถิด พ่อเองก็ไม่ทันสังเกต เห็นเจ้าง่วงขนาดนี้ พ่อยังจะพูดเรื่อยเปื่อยอีก” ตอนนี้สีหน้าของซูปั๋วชวนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ปกติเขาเองมักจะคุ้นชินกับการสนทนาพาทีกับบรรดาคนใหญ่คนโตที่เหมือนกับการเปิด**บเพลง พอเปิดแล้วก็ยากที่จะหยุดได้ คือพูดจนกว่าจะพอใจนั่นเอง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายศีรษะ “แต่ตอนนี้ลูกง่วงแล้ว คงเป็นเพราะวันนี้ไม่ได้นอนกลางวัน เช่นนั้นลูกขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหนื่อยอย่างยิ่ง ใจเหนื่อยล้า หัวเหนื่อยล้า ร่างกายก็เหนื่อยล้า เป็นความเหนื่อยล้าจากทุกอย่างรวมกัน นางคิดว่านางคงต้องพักผ่อนให้มากหน่อยแล้ว
“เอาล่ะๆ เยี่ยเอ๋อร์ รีบไปส่งน้องสาวเจ้าเถิด ข้ากับพ่อของเจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าอีกประเดี๋ยว”
“ขอรับ”
…
ซูเหลียนอวิ้นถูกแสงอาทิตย์สาดส่องปลุกให้นางตื่นขึ้น นางลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่ง นี่ยามใดแล้ว พระอาทิตย์ถึงดวงใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังส่องเข้ามาถึงในห้องแล้วด้วย
“หลีมู่!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ คุณหนู ” เมื่อหลีมู่ได้ยินเสียงร้องเรียก จึงรีบวางงานที่ทำอยู่ในมือลง แล้ววิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดิมทีนางกำลังจัดแจงเรื่องเสื้อผ้าให้ซูเหลียนอวิ้นอยู่
เมื่อหลีมู่คิดถึงตรงนี้ก็ถอนใจ เพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าช่วงนี้คุณหนูของนางเป็นอะไรไป เมื่อไม่กี่วันก่อนยังบอกอยู่ว่าเสื้อผ้าสีเข้มพวกนั้นไม่สวย ให้นางเก็บไปให้หมด แต่เมื่อวานก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก จู่ๆ ก็บอกว่าเปลี่ยนใจจะสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มเหล่านั้น การเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางเองจึงไม่รู้ว่าคุณหนูของนางกำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
เฮ้อ
“หลีมู่ ตอนนี้ยามใดแล้ว เหตุใดวันนี้เจ้าจึงไม่ปลุกข้าเล่า” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วพุ่งปราดไปหยิบเสื้อผ้าข้างกายมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เพราะนางคิดว่าขืนช้าไปกว่านี้จะต้องสายอย่างแน่นอน
“คุณหนูไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ” เมื่อหลีมู่เห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางร้อนรนเช่นนี้จึงรีบอธิบายขึ้น “ตอนเช้าก่อนหน้านี้คนในวังมาส่งข่าวมาว่า วันนี้อาจารย์ถงแจ้งว่าอาการไข้ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่หายดี เกรงว่าจะแพร่สู่คุณชายและคุณหนูทุกคน ดังนั้นวันนี้จึงขอพักผ่อนต่ออีกหนึ่งวัน”