ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 40 งานฉลอง
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้น มือที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าก็หยุดชะงักไป
ป่วยยังไม่หาย? อาจารย์ถงคงไม่ได้…
ใจของซูเหลียนอวิ้นดิ่งลึก แต่ก็รีบจัดการกับอารมณ์ของตนให้เข้าที่แล้วเงยหน้ามองไปทางหลีมู่ที่อยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปแล้ว หลีมู่ เดี๋ยวเจ้าไปที่ห้องเก็บของแล้วไปนำยาบำรุงพวกนั้นออกมา ข้าจำได้ว่าของที่ฮองเฮาประทานให้ข้าเมื่อครั้งก่อน ยังกองเหลืออยู่อีกตั้งมากมายใช่หรือไม่ เจ้าไปเลือกของดีๆ ออกมาแล้วให้คนนำไปมอบให้อาจารย์ถงด้วย บอกว่าเป็นการแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของศิษย์คนนี้เท่านั้น”
“เจ้าค่ะ” หลีมู่ตอบรับแล้วย่อเข่า จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไป
ในห้องตอนนี้ ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่อย่างเงียบงัน ในหัวของนางกำลังจัดลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ อันที่จริงนางค้นพบเบาะแสบางอย่างแล้ว นี่อาจารย์ถงกำลังจะ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงส่ายศีรษะ เพราะอย่างไรก็ไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนาง
หากไม่บอกกล่าวแก่ผู้อื่นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือ ไม่มีใครตั้งกฎว่าอาจารย์ถงจะต้องนำเรื่องนี้แจ้งให้ทุกคนทราบใช่หรือไม่ อีกอย่างยิ่งมีคนรู้น้อย ก็ยิ่งมีน้อยคนเตรียมตัว ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อนางอีกด้วย
…
การคาดเดาของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่ผิดพลาด ตั้งแต่วันนั้นอาจารย์ถงก็ลาป่วยติดต่อกันห้าวัน จนกระทั่งเหลือเวลาอีกสี่วันก่อนจะถึงงานฉลองวสันตฤดู ถึงจะบอกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว สุดท้ายและท้ายสุด จึงประกาศต่อหน้าทุกคนช้าๆ ว่าจะต้องเตรียมตัวทำสิ่งใดบ้างในงานฉลองวสันตฤดู
เมื่อทุกคนรับทราบข่าวนี้ต่างตกตะลึง เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่างานฉลองวสันตฤดู แท้จริงแล้วมีความลับสำคัญซ่อนอยู่
หากฟังชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ใดจะคิดว่านี่เป็นการสอบอย่างเปิดเผยสนามหนึ่ง ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเพียงงานฉลองเล็กๆ ให้ทุกคนมาสังสรรค์ร่วมกันเท่านั้น เพราะงานเช่นนี้มีบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ จึงไม่มีใครเก็บมาใส่ใจมากนัก ต่อให้มีคนบางกลุ่มเก็บมาใส่ใจ ก็คิดเพียงว่าในวันงานจะสวมชุดอย่างไร จะใส่เครื่องประดับตกแต่งแบบไหนจึงจะทำให้ตนสวยงามในวันนั้น
แน่นอนว่าต้องมีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเป็นเหมือนกับซูเหลียนอวิ้น ที่รู้ล่วงหน้าว่างานฉลองนี้มีความหมายสำคัญอื่นซ่อนอยู่ แต่ทุกคนล้วนทำเหมือนสมคบคิดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่มีใครเลยที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้น จนกระทั่งถึงวันที่อาจารย์ถงประกาศออกมา จึงได้มีคนกลุ่มหนึ่งที่ส่งสายตาให้กันแล้วแอบยิ้มในใจ
“เอาล่ะ ข้าแจ้งทุกอย่างไปครบแล้ว ส่วนอื่นที่เหลือก็ต้องอาศัยตัวพวกเจ้าเองแล้ว” เสียงแหบแห้งของอาจารย์ถงดังขึ้น และถือเป็นเสียงเรียกสติของทุกคนให้กลับคืนมาด้วย เมื่ออาจารย์ถงมองไปด้านล่างแล้วเห็นแต่ละคนมีท่าทางร้อนรนสับสน ราวกับฟ้ากำลังจะพังถล่มมาตรงหน้าก็ยิ้มเยาะในใจแล้วเอ่ยต่อว่า “ขอให้ทุกคนโชคดี ยังมีเวลาอีกสี่วัน”
เมื่อพูดจบ อาจารย์ถงก็สะบัดชายแขนเสื้อ และไม่สนใจเสียงร้องระงมที่ดังขึ้นในห้อง แล้วเดินออกไปอย่างไร้กังวล
…
ในที่สุด การเตรียมตัววันสุดท้ายก็มาถึง พรุ่งนี้งานฉลองวสันตฤดูจะเปิดฉากขึ้นแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นที่อยู่บนเตียงกำลังมองม่านรอบเตียงแล้วคาดเดาอย่างช้าๆ ถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่าน่าจะมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อชาติที่แล้วอยู่บ้าง นางจึงไม่กล้าที่จะคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหมด พรุ่งนี้เหตุการณ์ก็คงจะดำเนินไปไม่ต่างจากเมื่อชาติที่แล้วเท่าใดนัก ดังนั้นจึงต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน
ขณะที่กำลังครุ่นคิด นางก็หยิบตำราที่อยู่ข้างกายขึ้นมาพลิกอ่านดูอีกรอบ อันที่จริงนางท่องไปได้ไม่น้อยแล้ว นางอาจจะเกลียดเนื้อหาเช่นนี้ก็จริง แต่ใช่ว่าจะอ่านไม่เข้าหัวเลย เพียงต้องทุ่มเทแรงกายมากกว่าผู้อื่นอีกสักหน่อยก็เท่านั้น หากทุ่มเทแรงกายให้มากขึ้น นางต้องทำได้อย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็พลันตื่นเต้น ด้วยมิอาจล่วงรู้ได้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความคาดหวังมากมาย แต่แล้วในความตื่นเต้นเหล่านั้นกลับมีความกลัวบางอย่างเกิดขึ้น เนื่องจากในชาติที่แล้วมีพวกรนหาที่ได้เข้ามาหาเรื่องนางเอาไว้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในความคิดของซูเหลียนอวิ้นก็ปรากฏภาพตอนที่นางกล้าหาญชาญชัยเข้าไปสั่งสอนสองพี่น้องตระกูลหยาง ตอนนั้นเองริมฝีปากของนางก็หยักยิ้มขึ้น
ความรู้สึกนั้นทำให้นางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นี่คงถือว่าเป็นความสุขจากการรังแกผู้อื่นกระมัง ที่ทำให้นางรู้สึกดีมากเช่นนี้
ซูเหลียนอวิ้นยกมือขวาของตนขึ้นแล้วนำไปส่องกับเปลวเทียนข้างกาย พลางคิดว่าหากพรุ่งนี้เกิดเรื่องขึ้น ความรู้สึกของการใช้มือข้างนี้ชกปากคน…คงดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ซูเหลียนอวิ้นเฝ้ารอว่าจะมีการโจมตีอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือแบบใดเข้ามาบ้าง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
…
“หลีมู่ ช่วยหวีผมให้ข้าที” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเรียก ทั้งๆ ที่มือของตนก็ยังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัว
ชาดทาแก้ม ดินสอเขียนคิ้ว แปรงทาแป้ง…บนโต๊ะวางทุกอย่างไว้อย่างครบครัน ซูเหลียนอวิ้นกำลังแต่งตัวให้ตัวเองพลางเอ่ยว่า “โอ๊ย หลีมู่! เจ้าหยุดเก็บกวาดถ้วยชามอะไรพวกนั้นก่อน แล้วรีบมาหวีผมให้ข้า! พวกเนี่ยนเอ๋อร์ก็อยู่มิใช่หรือ อีกประเดี๋ยวค่อยเรียกพวกเนี่ยนเอ๋อร์มาเก็บของพวกนี้ก็ได้ ขอแค่พวกเราอย่าไปสายก็พอ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” หลีมู่กล่าวตอบ หลังจากที่นำชามใบใหญ่สุดในมือออกไปจากนั้นจึงนำผ้าเปียกหมาดๆ มาเช็ดมือแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา นางใช้มือหยิบผมของซูเหลียนอวิ้นขึ้นช่อหนึ่ง พลางพูดขึ้นอย่างคับข้องใจว่า “คุณหนู หากคุณหนูรีบจริงๆ คุณหนูก็ควรเตรียมไว้แต่แรกจะได้ไม่วุ่นวายเช่นนี้ หากทำอย่างนั้นได้ก็คงจะดีกว่าตอนนี้แน่!”
จะตำหนิหลีมู่ว่าไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ เพราะวันนี้หลีมู่รู้สึกคับข้องใจอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูของตนตื่นเช้าขนาดนี้! ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยามเหม่า[1] ทำเอาหลีมู่ตกอกตกใจเพราะคิดว่าตนตื่นสายจนไปถ่วงเวลาของซูเหลียนอวิ้นเข้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตอนที่นางมองออกไปด้านนอกเพื่อสำรวจชั่วยามนั้น
คุณหนูเจ้าคะ พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้นเลย! คุณหนูตื่นเช้าเกินไปหน่อยแล้ว!
ซูเหลียนอวิ้นกลับเอ่ยอย่างสงบว่า “หลีมู่ นี่ไม่เช้าแล้ว เช้าวันนี้คุณหนูของเจ้าต้องการบำรุงผิวอีกสักรอบ”
หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตอนนั้นเลย เพราะเมื่อคืนได้ทำการบำรุงผิวให้สวยใสไปแล้ว! ขั้นตอนพวกนั้นมีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย อีกอย่างนี่จะเป็นการทำให้เสียเวลาในตอนนี้อีกด้วย
หลีมู่จึงพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดโดยพูดขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ…บ่าวกลัวว่าเวลาจะไม่พอ อย่าทำเลยจะดีกว่า เพราะเมื่อคืนวานคุณหนูก็ทำไปแล้วรอบหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ” เนื่องจากขั้นตอนในการเก็บกวาดตอนท้ายสุดนั้นจะทำให้นางเหนื่อยสาหัส ชามเล็กชามน้อยมากมายขนาดนั้น หากต้องนำออกมาใช้อีกรอบแล้วเก็บล้างอีกรอบ แค่คิดหลีมู่ก็รู้สึกว่าเอวของนางเจ็บแปลบขึ้นมา
“มิได้!” ท่าทีของซูเหลียนอวิ้นเด็ดเดี่ยว “ข้าตื่นเช้าขนาดนี้ จะให้เสียเวลาเปล่าได้อย่างไร อีกทั้งวันนี้คุณหนูของเจ้า ต้องมีท่วงท่าสง่างามที่สุด!”
นางกำลังจะต้องลงสนามรบเดี๋ยวนี้แล้ว! จะไม่ให้จัดเตรียมชุดเกราะไว้ให้พร้อมเพรียงได้อย่างไร คำพูดของนางแม้จะดูเพี้ยนไปบ้าง แต่ว่าความหมายก็ไม่ต่างกันมากนัก
สรุปแล้วอาวุธที่เตรียมไว้ใช้ในการรบครั้งนี้ก็คือ การสะกดสายตาผู้ที่พบเห็นเราในคราแรกให้ได้ในทันที และในครั้งนี้นางจะต้องปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นางจะต้องเอาคืน! โดยต้องเริ่มจากการให้คนพวกนั้นตาพร่ามัวตั้งแต่เห็นนางเพียงคราแรก
——
[1] ยามเหม่า คือ ช่วงเวลา 05.00 น. – 06.59 น.